บริษัท Berkshire Hathaway ของ Warren Buffet ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Apple ลง 55% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 แม้ว่าหุ้นของผู้ผลิต iPhone กำลังซื้อขายอยู่ที่ราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์หรือใกล้เคียง
การคำนวนโดย Business Insider ชี้ให้เห็นว่าการขายหุ้น Apple ของ Berkshire Hathaway ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปีนี้ ส่งผลให้ Warren Buffett และกลุ่มบริษัทของเขาพลาดกำไรไปประมาณ 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Berkshire Hathaway เริ่มต้นปี 2024 ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นขนาดใหญ่ใน Apple โดยถือหุ้นอยู่ที่ 905.6 ล้านหุ้น มูลค่าประมาณ 174,000 ล้านดอลลาร์ในขณะนั้น
หากดูราคาหุ้น Apple ณ ปัจจุบัน สัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าวจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 210,000 ล้านดอลลาร์ แต่ปัจจุบัน Berkshire Hathaway กลับถือหุ้น Apple มูลค่า 84,000 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นไตรมาสที่สอง
Berkshire Hathaway ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Apple ลง 13% ในไตรมาสแรก (116.2 ล้านหุ้น) และในไตรมาสที่สอง ลดการถือครองลงอีก 42% (389.7 ล้านหุ้น)
นับตั้งแต่ไตรมาสที่สอง หุ้นของ Apple ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราคา $232 ต่อหุ้น เนื่องจากความตื่นเต้นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี Apple Intelligence ที่สนับสนุนการเติบโตในการขายฮาร์ดแวร์
เนื่องจากไม่สามารถทราบราคาอย่างแน่ชัดที่ Berkshire Hathaway ขายหุ้น Apple ได้ Business Insider จึงใช้ราคาหุ้นเฉลี่ยของ Apple ในไตรมาสแรกและที่สองเป็นราคาขาย
จากการคำนวนแสดงให้เห็นว่า Berkshire ขายหุ้น Apple จำนวน 505.9 ล้านหุ้นที่ราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักประมาณ $186.15 ต่อหุ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2024
ความแตกต่างระหว่างราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักและราคาหุ้น Apple ในวันพฤหัสบดีทำให้ Berkshire Hathaway พลาดกำไรไปมากถึง 23,100 ล้านดอลลาร์
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านี่จะเป็นการลงทุนที่ผิดพลาดสำหรับ Berkshire ไปซะทีเดียว เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำหนดช่วงเวลาในการขายหุ้นขนาดใหญ่นี้ได้อย่างแม่นยำ
Berkshire เริ่มสะสมหุ้น Apple ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2016 โดยราคาซื้อเฉลี่ยที่ HedgeFollow คาดการณ์ไว้อยู่ที่เพียง 39.59 ดอลลาร์ต่อหุ้น และผลที่ตามมาคือ ปัจจุบันราคาหุ้น Apple ได้พุ่งทะยานขึ้นมากถึง 485%
ดังนั้นการซื้อขายหุ้น Apple ของ Berkshire จะถูกจดจำว่าเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
- ที่มาข่าว:market.businessinsider
- ที่มาภาพ:EconomistGlobal