Bitcoin พุ่งทะยานอย่างร้อนแรงในปีนี้ ผลักดันให้คริปโตเคอเรนซีกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ “ภาวะล้มละลาย” จากหนี้รัฐบาลที่มากถึง 35.7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งยากเกินกว่าจะควบคุม
ปัจจุบันราคา BTC ทะยานขึ้นใกล้แตะระดับสูงสุดในประวัติการณ์อีกครั้ง ที่ระดับราคาประมาณ 70,000 ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยกระตุ้นสำคัญจาก “เซอร์ไพรส์ในโลกคริปโต” ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
แต่ล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้เผยแพร่รายงานที่ถูกมองว่าเป็น “การโจมตี” ต่อ Bitcoin จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็น “การประกาศสงคราม” สร้างกระแสความตื่นตัวและการถกเถียงในแวดวงการเงินทั่วโลก
ธนาคารกลาง Minneapolis แห่งสหรัฐฯ ได้เผยแพร่รายงานในสัปดาห์นี้โดยระบุว่า Bitcoin และสินทรัพย์ในประเภทเดียวกัน อาจถูกเรียกเก็บภาษีหรือโดนแบน เพื่อช่วยรัฐบาลในการควบคุมการขาดดุล
“การแบนหรือห้ามใช้ Bitcoin ทางกฎหมาย และการเก็บภาษี Bitcoin สามารถช่วยฟื้นฟูการดำเนินการขาดดุลขั้นต้นถาวร” ผู้เขียนรายงานระบุ พร้อมเสริมว่า Bitcoin ได้สร้าง “กับดักงบประมาณสมดุล” ที่เน้นย้ำถึงการขาดแคลนงบประมาณในการใช้จ่ายของรัฐบาล
Matthew Sigel หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลของ VanEck กล่าวว่า “ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ร่วมกับธนาคารกลางยุโรปในการโจมตี Bitcoin” โดยระบุว่ารายงานดังกล่าวได้ “จินตนาการถึงการห้ามใช้ Bitcoin ทางกฎหมาย” และเพิ่มภาษี Bitcoin เพื่อให้มั่นใจว่า หนี้รัฐบาลจะยังคงเป็น “หลักทรัพย์ที่ปลอดภัยเพียงอย่างเดียว”
ราคา Bitcoin ได้พุ่งทะยานขึ้นพร้อมกับราคาทองคำในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นพร้อมกับการขาดดุลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจะสร้างวงจรป้อนกลับบังคับให้รัฐบาลต้องพิมพ์เงินเพิ่ม
หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยทะลุ 34 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปี 2024 ซึ่งหนี้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นจนควบคุมไม่ได้ และบีบให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อต้นปีนี้ นักวิเคราะห์จาก Bank of America เตือนว่าภาระหนี้ของสหรัฐฯ กำลังจะเพิ่มขึ้นโดยอาจแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในทุก ๆ 100 วัน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันราคา Bitcoin ให้สูงขึ้น และคาดว่าหนี้สหรัฐฯ อาจจะสูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ภายในช่วงสิ้นปี 2024
รายงานของ Fed ฉบับนี้สืบเนื่องมาจากรายงานของ ECB ที่โต้แย้งว่า “การมีอยู่ของ Bitcoin ทำให้ทั้งผู้ที่ไม่ได้ถือครองและผู้มาทีหลังยากจนลง” โดยอธิบายว่ามันเป็น “zero-sum game” ซึ่งผู้ซื้อ Bitcoin “เพิ่มความมั่งคั่งและการบริโภคจริง” ของตนเองโดยอาศัยค่าใช้จ่ายของผู้อื่น
นักวิเคราะห์คริปโต Tuur Demeester กล่าวว่า “ECB อ้างว่าผู้ที่รับเอา Bitcoin ในช่วงแรกขโมยคุณค่าทางเศรษฐกิจจากผู้มาทีหลัง และถือเป็นการประกาศสงครามอย่างแท้จริง” โดยเสริมว่าเขา “เชื่ออย่างยิ่งว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะใช้ข้อโต้แย้งเหล่านี้ เพื่อออกกฎหมายภาษีที่เข้มงวดหรือการสั่งแบน Bitcoin”
ที่มา:forbes