Peter Schiff หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และนักยุทธศาสตร์ระดับโลกของ Euro Pacific Asset Management ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจล่าสุดของ FED โดยได้ทวีตว่านโยบายปัจจุบันของ FED จะทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาว
เขาคาดว่าเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นในปีหน้า และกล่าวว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตของ FED น่าจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันวิกฤตทางการเงิน กระตุ้นตลาดสินทรัพย์ หรือบรรเทาปัญหาให้กับธนาคารและตลาดแรงงานที่กำลังประสบปัญหา ไม่ใช่เพื่อลดเงินเฟ้อ
FED ปรับอัตราดอกเบี้ย
ในวันพุธ ธนาคารกลางสหรัฐได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลักลง 0.25% ซึ่งถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีนี้
จากรายงานล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ปรับเพิ่มการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยเป็น 3.9% จาก 3.4% ในเดือนกันยายน นอกจากนี้ คาดการณ์เงินเฟ้อยังปรับเพิ่มจาก 2.1% เป็น 2.5%
Jerome Powell ประธาน FED ออกมาปกป้องการตัดสินใจดังกล่าวระหว่างการแถลงข่าว โดยระบุว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ช้าลง สะท้อนถึงเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดในปีนี้ และการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะยังคงกดดันต่อไปจนถึงปี 2025
แม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะมีผล แต่ความเห็นของ Powell ก็บ่งชี้ว่าในอนาคต FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างช้า ๆ และระมัดระวังมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ
Peter Schiff ได้ออกมากล่าวในรายการ Fox Business หลังจาก FED ประกาศเรื่องนี้ ว่าการกระทำของ Powell ไม่สอดคล้องกับคำพูดของเขา โดยชี้ให้เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของFED ในช่วงแรกนั้นเร็วเกินไป เขาโต้แย้งว่าอัตราดอกเบี้ยไม่เคยไปถึงระดับที่จำกัด และการปรับลดเพิ่มเติมในตอนนี้จะเป็นความผิดพลาด
เขายังแสดงความไม่ไว้วางใจต่อคำพูดของ Powell ที่กล่าว่าว่าอัตราเงินเฟ้ออาจกลับสู่เป้าหมายของ FED ที่ 2% ในอีก 2 ปี เขาเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงสูงอยู่ และบอกว่า Powell ว่ามองโลกในแง่ดีเกินไป
ผลกระทบจากการขาดดุลและความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลัง
Peter Schiff เตือนว่าสหรัฐฯ อาจกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจทำให้สภาพเศรษฐกิจของรัฐบาล Trump ชุดใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลเตรียมเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม Schiff คาดเดาว่า Trump อาจต้องเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเปราะบาง ซบเซา ที่มาพร้อมกับขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น
ตามตัวเลขล่าสุดของกระทรวงการคลัง รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ใช้เงิน 6.68 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเพิ่มจากการใช้จ่าย 5.84 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคม ส่งผลให้การขาดดุลรวมใน 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2025 พุ่งสูงถึง 6.24 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ในช่วงเวลาดังกล่าว
ด้วยรายรับของรัฐบาลที่อยู่ที่เพียง 6.28 แสนล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มที่จะขาดดุลเป็นประวัติการณ์ภายในสิ้นปีงบประมาณ ซึ่งอาจเกิน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ Schiff เตือนว่าการใช้จ่ายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้กำลังทำให้เศรษฐกิจภาคจริงหดตัว และนโยบายการคลังดังกล่าวอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว
Schiff ยังวิพากษ์วิจารณ์แนวทางของประธานาธิบดี Trump ที่มีต่อตลาดพลังงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อเสนอแนะที่ว่าสหภาพยุโรปควรเพิ่มการซื้อน้ำมันและก๊าซจากสหรัฐฯ นักเศรษฐศาสตร์โต้แย้งว่าสิ่งนี้จะส่งผลให้อุปทานภายในประเทศลดลงและราคาพลังงานของชาวอเมริกันพุ่งสูงขึ้น
เขายังโต้แย้งอีกว่าหากใช้เงินดอลลาร์ซื้อสินค้าพลังงานจากสหรัฐฯ แทนที่จะใช้หนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือผลตอบแทนพันธบัตรและอัตราจำนองที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของครัวเรือนเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น
Source: Cryptopolitan