ราคา Bitcoin (BTC) ร่วงลง 11% ระหว่างวันที่ 7 – 9 มกราคม โดยราคาหลุดต่ำกว่าระดับ $92,000 เป็นครั้งแรกในรอบ 9 วัน การปรับตัวลงครั้งนี้ ส่งผลให้มีการล้างพอร์ตของนักลงทุนที่ถือสถานะ Long ด้วยเลเวอเรจ รวมมูลค่ากว่า 257.5 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ การปรับฐานราคายังเกิดขึ้นพร้อมกับการขายทำกำไรของนักลงทุน และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเข้ารับตำแหน่งของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแนวโน้มเชิงลบในระยะสั้น แต่ข้อมูลจาก 3 ตัวชี้วัดนี้ ระบุว่า การร่วงลงสู่ระดับ $92,000 อาจเป็นจุดต่ำสุดในรอบนี้ของ Bitcoin แล้ว และถือเป็นการเปิดโอกาสที่ดีให้กับนักลงทุนเข้าสู่ตลาด
ตัวชี้วัด SOPR ลดลง! ส่งสัญญาณเกิด “จุดต่ำสุด” ของราคา Bitcoin
ข้อมูลบนบล็อกเชน (On-chain) เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา เผยให้เห็นว่า อัตราส่วนกำไรจากการขาย หรือ “Spent Output Profit Ratio (SOPR)” ของ Bitcoin ลดลงเหลือ 0.98 ซึ่งบ่งบอกว่า นักลงทุนระยะสั้นที่ถือ Bitcoin น้อยกว่า 155 วันกำลังขายเหรียญในภาวะขาดทุน
บริษัทวิเคราะห์ตลาด CryptoQuant ระบุในโพสต์เมื่อวันที่ 9 มกราคมว่า “การปรับตัวลงของราคา Bitcoin ครั้งล่าสุด เกิดจากการที่นักลงทุนระยะสั้นตัดสินใจขายเพื่อยอมรับการขาดทุน”
และในช่วงเวลาเดียวกัน มีการโอน Bitcoin จำนวน 36,400 BTC จากนักลงทุนระยะสั้นเข้าสู่กระดานเทรดคริปโต และอัตราส่วน SOPR ได้ลดลงต่ำกว่าระดับ 1 ซึ่งเป็นสัญญาณว่า นักลงทุนกลุ่มนี้อาจตื่นตระหนกและขายเพื่อลดความเสี่ยงในตลาด
SOPR (Spent Output Profit Ratio) เป็นตัวชี้วัดที่ใช้วิเคราะห์กำไรหรือขาดทุนของ Bitcoin ที่ถูกขาย โดยการเปรียบเทียบมูลค่าของเหรียญเมื่อมีการโอนครั้งล่าสุดกับมูลค่าเมื่อถูกนำมาใช้หรือขายอีกครั้ง
สำหรับ ตัวชี้วัด SOPR แบบ short-term จะโฟกัสไปที่เหรียญที่เคลื่อนไหวในระยะเวลาน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งสามารถบ่งบอกความรู้สึกของตลาดได้ หากค่า SOPR ต่ำกว่า 1 อาจแสดงถึงภาวะ “capitulation” หรือการทำจุดต่ำสุดของตลาด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ดีในการเข้าซื้อ
สถานการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นก่อนที่ราคาจะฟื้นตัว เช่น เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2024 SOPR ลดลงเหลือ 0.90 หลังจากที่ราคาของ Bitcoin ร่วงลงมาที่ $49,577 ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมาเพิ่มขึ้นถึง 31% แตะระดับ $65,103 ภายใน 3 สัปดาห์ถัดมา
ล่าสุด ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้น 62% ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าระดับ $108,000 ระหว่างวันที่ 5 พ.ย. ถึง 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการลดลงของค่า SOPR ต่ำกว่า 1 ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 4 พ.ย. 2024
ดังนั้น การที่ราคา Bitcoin ลดลงมาแตะ $92,000 ถูกมองว่า เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนบางรายในการเข้าซื้อ โดยมองว่าราคาที่ลดลงเป็นเพียงการ “เขย่า” ให้นักลงทุนที่อ่อนแอออกจากตลาดไป ซึ่งไม่ใช่จุดเริ่มต้นของตลาดขาลง
Sean Buckley นักลงทุน Bitcoin กล่าวว่า “ผมเพิ่มการถือครอง Bitcoin ที่ราคา $92.8k ตอนนี้ แม้ว่าจะผิดหวังกับการเคลื่อนไหวของราคา แต่ก็ต้องกัดใจซื้อที่บริเวณแนวรับสำคัญแบบนี้” พร้อมเสริมว่า “ช่วงราคา $92k ของ Bitcoin เป็นช่วงที่ราคาควรจะเด้งกลับอย่างรุนแรง ถ้ามันจะฟื้นตัว”
Entity-adjusted Dormancy Flow : ตัวชี้วัดจับพฤติกรรมของผู้ถือเหรียญ BTC
Entity-adjusted Dormancy Flow เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยประเมินว่า ราคา Bitcoin แตะจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง โดยเปรียบเทียบ มูลค่าตลาด (Market Cap) ปัจจุบันของ Bitcoin กับ ค่า Dormancy รายปี (หน่วย USD) หมายถึง ช่วงเวลาที่เหรียญถูกเก็บไว้ในกระเป๋าโดยไม่มีการเคลื่อนไหว
ในอดีต หากค่าดัชนีนี้ลดลงต่ำกว่า 250,000 (ดูตรงวงกลมสีแดง) มักจะหมายถึง “โซนซื้อที่ดี” ซึ่งบ่อยครั้งจะเป็นช่วงก่อนที่ราคาจะฟื้นตัว หรือเป็นจุดสิ้นสุดของการปรับฐานครั้งใหญ่
ปัจจุบันตัวชี้วัด Entity-adjusted Dormancy Flow ลดลงจาก 260,278 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม สู่ระดับต่ำสุดที่ 210,000 ในวันที่ 9 มกราคม
ในอดีตที่ผ่านมา การที่ตัวชี้วัดนี้ พุ่งขึ้นเหนือระดับ 250,000 หลังจากการลดลง มักจะสอดคล้องกับการเริ่มต้นของตลาดขาขึ้นครั้งใหญ่ ตัวอย่างหนึ่งคือในเดือนกรกฎาคม 2021 เมื่อ Bitcoin ลงสู่จุดต่ำสุด และเริ่มต้นตลาดขาขึ้นใหม่ โดยตัวชี้วัดเข้าสู่โซนสีเขียว จากนั้น Bitcoin ได้พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ $69,000 ในวันที่ 10 พฤศจิกายน
โดยสรุปคือ ล่าสุดตัวชี้วัด Entity-adjusted Dormancy Flow กำลังส่งสัญญาณขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจหมายความว่า ราคา Bitcoin จะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ $92,000 และมีโอกาสพุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุดใหม่ในอนาคต
ตัวชี้วัดการกระจายเหรียญ Bitcoin ของผู้ถือระยะยาว แตะจุดสูงสุดแล้ว!
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ตัวชี้วัด Bitcoin long-term supply distribution หรือเปอร์เซนต์ของ Bitcoin ที่ถือครองโดยนักลงทุนระยะยาว (LTH) ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2024 ซึ่งบ่งบอกว่า มีการขายทำกำไรของ LTH หลังจากราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดใหม่ที่ $108,000
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอัตราการกระจายเหรียญของ LTH ชะลอตัวลง โดยการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการถือครอง LTH ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าอัตราการกระจายเหรียญอาจแตะจุดสูงสุดแล้ว
จากข้อมูลของ Glassnode ตลาดอาจกำลังเปลี่ยนจาก ช่วงการกระจายเหรียญ (Distribution Phase) ไปสู่ ช่วงการสะสมเหรียญ (Accumulation Phase) ซึ่งในอดีตมักสอดคล้องกับช่วงที่ราคาทำจุดต่ำสุดในรอบตลาด
Glassnode อธิบายว่า “ในรอบตลาดก่อนหน้า ราคายังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าการกระจายเหรียญของ LTH จะถึงจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งแปลว่าการกระจายเหรียญสูงสุดไม่ได้หมายถึงจุดสูงสุดของตลาดในทันทีเสมอไป”
บทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุนหรือซื้อขาย การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้อ่านควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา:binancesqaure