Tuttle Capital บริษัทจัดการสินทรัพย์จากสหรัฐฯ ได้ยื่นคำขอเปิดตัวกองทุน Crypto ETF แบบมีเลเวอเรจถึง 10 กองทุน เหตุการณ์นี้ได้รับความสนใจจากนักวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากถือเป็นการท้าทายขอบเขตการอนุมัติของ SEC ชุดใหม่ ภายใต้รัฐบาล Donald Trump ซึ่งมีท่าทีเป็นมิตรกับอุตสาหกรรมคริปโต
เมื่อวันที่ 27 มกราคม James Seyffart นักวิเคราะห์ ETF จาก Bloomberg กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “การยื่นเอกสารครั้งนี้มีจุดเด่นที่น่าสนใจ คือกองทุน ETF เลเวอเรจ 2 เท่า ในเหรียญมีมอย่างเป็นทางการของ Donald Trump (TRUMP) และ Melania Trump (MELANIA) ”
นอกเหนือจากเหรียญมีม TRUMP และ MELANIA แล้ว Tuttle ยังเสนอเปิดตัวกองทุนเลเวอเรจสำหรับสินทรัพย์คริปโตตัวอื่น ๆ ที่ยังไม่เคยมีกองทุน ETF มาก่อน อย่างเช่น XRP, Solana (SOL), Litecoin (LTC), Chainlink (LINK), Cardano (ADA), Polkadot (DOT), BNP , Bonk (BONK)
Eric Balchunas นักวิเคราะห์อาวุโสด้าน ETF จาก Bloomberg กล่าวว่า การยื่นขอเปิดตัวกองทุนของ Tuttle ครั้งนี้ถือว่า “แปลก” เพราะเป็นกองทุนเลเวอเรจสูง ทั้งที่บางสินทรัพย์ยังไม่เคยมีกองทุน ETF แบบปกติมาก่อน โดยปกติแล้ว ETF จะติดตามราคาสินทรัพย์ในอัตราส่วน 1:1 แต่กองทุนเลเวอเรจจะติดตามในอัตราส่วน 2:1 หรือมากกว่านั้น ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นสำหรับนักลงทุน
Balchunas ยังกล่าวเสริมว่า หาก SEC ไม่ปฏิเสธ กองทุนเหล่านี้อาจเริ่มซื้อขายได้ในเดือนเมษายน นอกจากนี้เขายังตั้งข้อสังเกตว่า น่าสนใจที่จะได้เห็นว่า SEC จะกำหนดขอบเขตอย่างไร และเพราะเหตุใด
ภาพรวมตลาด Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ
นอกเหนือจาก Tuttle แล้ว บริษัทร่วมทุนระหว่าง Osprey Funds และ REX Shares ก็ได้เปิดเผยแผนการเปิดตัว ETF สำหรับเหรียญมีม เช่น DOGE, TRUMP และ BONK โดยมีการยื่นเอกสารเมื่อวันที่ 21 มกราคม ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในขณะที่บริษัทหลายแห่งเริ่มเข้าสู่ตลาด ETF มากขึ้น
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม SEC ได้อนุมัติ Bitcoin และ Ether Index ETF ของ Hashdex และ Franklin Templeton
ตามข้อมูลจาก VettaFi ผู้ให้บริการฐานข้อมูล ETF ระดับโลก ปัจจุบันมี Bitcoin ETF จำนวน 32 กองทุนที่ซื้อขายในสหรัฐฯ แต่มีเพียง 11 กองทุนเท่านั้นที่เป็น Bitcoin ETF แบบ Spot ซึ่งสะท้อนถึงทั้งโอกาสและความท้าทายที่ยังรออยู่ในตลาดนี้
อย่างไรก็ตาม การยื่นขอกองทุน Crypto ETF แบบเลเวอเรจ 10 กองทุนของ Tuttle ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามอง เนื่องจากมันจะเป็นตัวกำหนดขอบเขตการกำกับดูแลอุตสาหกรรมคริปโตของ SEC ชุดใหม่ ได้เป็นอย่างดี
ที่มา:cointelegraph