รายงานล่าสุดเผยให้เห็นความแตกต่างในการถือครอง Bitcoin ของประเทศต่าง ๆ โดยจีนถือครอง BTC ประมาณ 194,000 BTC ขณะที่สหรัฐฯ ถือครอง 112,189 BTC คิดเป็นมูลค่าราว 10,000 ล้านดอลลาร์
แม้ทางการจีนจะสั่งห้ามการซื้อขายและขุดคริปโตอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2021 แต่กลับพบว่ารัฐบาลยังคงถือครอง BTC จำนวนมาก ส่วนใหญ่มาจากการยึดเหรียญจากโครงการ PlusToken Ponzi Scheme ในปี 2020 และนำไปเก็บไว้ในกระทรวงการคลัง
แนวทางที่แตกต่าง: จีนสะสม BTC ส่วนสหรัฐฯ กระจายตัว
จีนมีท่าทีที่จะแบนคริปโต โดยผลักดันนักลงทุนรายย่อยออกจากตลาด ขณะเดียวกันก็รวบรวมสินทรัพย์ไว้ภายใต้การควบคุมของรัฐ ส่วนสหรัฐฯ แม้จะถือครอง Bitcoin จำนวนน้อยกว่าจีน แต่การถือครองของรัฐบาลมาจากการยึดสินทรัพย์ในการสืบสวนคดีอาญา และกระจายอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ
ประเทศอื่นๆ ที่ถือครอง BTC ได้แก่
- สหราชอาณาจักร – 61,000 BTC (~5.3 พันล้านดอลลาร์)
- ยูเครน – 46,351 BTC (~4.08 พันล้านดอลลาร์)
- ภูฏาน – 13,029 BTC (~1.14 พันล้านดอลลาร์)
- เอลซัลวาดอร์ – 6,089 BTC (~537 ล้านดอลลาร์)
แม้เอลซัลวาดอร์เป็นประเทศแรกที่ยอมรับ Bitcoin เป็นเงินถูกกฎหมาย แต่เงินสำรองยังมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับจีนและสหรัฐฯ
ผลกระทบเชิงกลยุทธ์: Bitcoin กลายเป็นเครื่องมือเจรจาทางเศรษฐกิจ
การถือครอง Bitcoin ในระดับประเทศมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในบริบททางภูมิรัฐศาสตร์
- อิทธิพลต่อตลาด – จีนถือครอง Bitcoin ประมาณ 1% ของอุปทานทั้งหมด ซึ่งสามารถกระทบราคาตลาดได้
- การป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน – Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ช่วยลดการพึ่งพาระบบการเงินตะวันตก
- ข้อได้เปรียบในการเจรจาระดับโลก – ท่ามกลางกระแสการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น กองทุนสำรองคริปโตเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ
การแข่งขันเพื่อสะสม Bitcoin อาจทวีความรุนแรง
ข้อมูลล่าสุดอาจกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ เร่งสะสม Bitcoin เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะประเทศที่มีความขัดแย้งกับสหรัฐฯ
ขณะนี้ จีนและสหรัฐฯ ถือครอง Bitcoin รวมกันกว่า 300,000 BTC ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ยังไม่มี Bitcoin สำรอง การซื้อ BTC เพิ่มเติมอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้นในอนาคต และทำให้ประเทศที่สะสมไว้ล่วงหน้าได้เปรียบเชิงกลยุทธ์
แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของ Bitcoin จากสินทรัพย์เก็งกำไรไปสู่เครื่องมือทางเศรษฐกิจที่อาจมีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ
Source: TheCoinRepublic