รัฐบาลทรัมป์เตรียมนำเทคโนโลยี บล็อกเชน มาใช้ในกระบวนการจัดซื้อ จัดจ้างและกระจายความช่วยเหลือ ให้กับสำนักงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของสหรัฐฯ ที่รับผิดชอบเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาทั่วโลก
ตามรายงานของ WIRED ที่อ้างอิงถึงบันทึกภายในจากกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า การใช้บล็อกเชนในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความโปร่งใส และสามารถติดตามการใช้เงินช่วยเหลือ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นการส่งเสริมนวัตกรรมและเน้นผลลัพธ์ที่สามารถตรวจวัดได้
อย่างไรก็ตาม สำนักงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ได้รับผลกระทบอย่างมาก ตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ และตัดงบประมาณจำนวนมาก
กระทรวงประสิทธิภาพในการบริหารรัฐกิจ (Department of Government Efficiency: D.O.G.E) ภายใต้การนำของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ได้ออกคำสั่งให้ปิดสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) โดยระบุว่าองค์กรนี้ “เต็มไปด้วยการทุจริตและไร้ประสิทธิภาพ”
คำสั่งดังกล่าวส่งผลกระทบในวงกว้าง พนักงานจำนวนมากถูกสั่งห้ามเข้าสำนักงาน ถูกให้ออกจากงาน หรือพักงานชั่วคราว ขณะที่โครงการช่วยเหลือของสหรัฐฯ ทั่วโลกเกือบทั้งหมดต้องหยุดชะงัก และมีการยกเลิกสัญญาในโปรเจกต์ที่ไม่จำเป็นทันที
แม้ว่า การใช้บล็อกเชนจะดูทันสมัย และมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวงการ สำหรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังแสดงความกังขา โดย Margie Cheesman นักมนุษยวิทยาดิจิทัล ระบุไว้ในงานวิจัยปี 2024 ว่า บล็อกเชนมักถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับหาเงินทุน มากกว่าจะสร้างประโยชน์จริง ๆ
Margie Cheesman ได้ศึกษาหนึ่งในโปรเจกต์ที่ไม่เปิดเผยชื่อ และพบว่า การใช้บล็อกเชนกลับเพิ่มต้นทุน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามส่วนใหญ่แทบไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีบล็อกเชนเลย
ตามรายงานจาก Bloomberg ระบุว่า อีลอน มัสก์ (Elon Musk) กำลังผลักดันการใช้บล็อกเชนในระดับรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ โดยมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบงบประมาณภาครัฐ การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การจ่ายเงินโดยอัตโนมัติ และการบริหารทรัพย์สินของรัฐบาล
เป้าหมายของโครงการนี้คือ การปรับปรุงระบบราชการให้ดูทันสมัย และลดความสิ้นเปลือง ซึ่งหากดำเนินไปได้จริง ก็อาจกลายเป็นโครงการบล็อกเชนภาครัฐที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว
ที่มา : cryptobriefing