<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>
bitkub-2022-769x90

นักสืบใช้เวลา 15 ปี ตามล่าตัว ‘Satoshi Nakamoto’ แต่จบลงด้วยความพีคเกินคาด!

bitkub-2022-768x90
ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เป็นที่รู้กันดีว่าตัวตนของผู้สร้าง Bitcoin อย่าง “ ซาโตชิ นากาโมโตะ” ยังคงเป็นปริศนาที่โลกคริปโตไม่เคยคลี่คลาย แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ และแม้จะมีความพยายามสืบหามากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวของนักสืบรายหนึ่งที่ทุ่มเทเวลากว่า 15 ปี เพื่อตามหาความจริงเบื้องหลังตัวตนของผู้สร้าง Bitcoin

เรื่องราวเริ่มต้นจาก Benjamin Wallace นักสืบและอดีตนักเขียนบทความของนิตยสาร Newsweek ซึ่งได้เขียนบทความย้อนรอยเส้นทางของตัวเอง โดยเล่าว่าเขารู้จักกับแนวคิดของ Bitcoin มาตั้งแต่ปี 2011 และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เกิดความสนใจในตัวตนของ “ซาโตชิ นากาโมโตะ” อย่างลึกซึ้ง จนนำไปสู่การเริ่มต้นภารกิจตามล่าบุคคลลึกลับผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างสกุลเงินดิจิทัลเปลี่ยนโลก

แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จะมีผู้คนจำนวนมากพยายามที่จะกระชากหน้ากากของซาโตชิ แต่ความพยายามเหล่านั้นกลับสูญเปล่าทั้งหมด ในขณะที่นักสืบรายนี้กลับเปิดเผยว่าเขาได้เบาะแสตัวตนของซาโตชิมาแล้ว และมันไม่เหมือนกับทฤษฏีอื่น

ย้อนกลับไปในปี 2011 Benjamin  ได้พบเบาะแสแรกเกี่ยวกับตัวตนของซาโตชิผ่านอีเมลฉบับหนึ่ง ด้วยความที่เขาเขียนเกี่ยวกับ Bitcoin มาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น จึงมีชาวเน็ตจำนวนมากส่งข้อมูลและเบาะแสต่าง ๆ มาให้เขา หนึ่งในนั้นคือการอ้างว่า “Elon Musk” อาจเป็นซาโตชิ นากาโมโตะ อย่างไรก็ตาม หลังจากสืบสวนและวิเคราะห์ข้อมูล Wallace ก็พบว่า Musk ไม่น่าจะใช่บุคคลที่อยู่เบื้องหลัง Bitcoin และเจ้าตัวเองก็เคยออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้แล้ว ทำให้ภารกิจตามหาตัวจริงของซาโตชิยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

การสืบสวนในครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของ Wallace ที่เขาได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ และหันมาทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้อย่างเต็มตัว ด้วยความเชื่อมั่นว่า หากเขาเดินหน้าต่อไป เขาอาจจะได้เป็นคนแรกของโลกที่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของ “บิดาแห่ง Bitcoin” ได้สำเร็จ

Wallace จึงกลับมาตั้งตนใหม่และเก็บรวมรวมหลักฐานทั้งหมดที่ซาโตชิเคยทิ้งไว้ ซึ่งเขาสรุปออกมาได้ว่า ตัวของซาโตชิเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ใช้ภาษาตกยุค หมายความว่าตัวของเขาต้องเป็นคนที่มีอายุมากพอสมควร และผู้ที่มีสิทธิจะเป็นซาโตชิมากที่สุดน่าจะเป็นคนของ Cypherpunks อย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการสืบสวน Wallace ได้พบว่ามีสมาชิกกลุ่ม Cypherpunks หลายคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจเป็นซาโตชิ ไม่ว่าจะเป็น Nick Szabo, Adam Back หรือ Hal Finney ซึ่งล้วนแล้วแต่มีบทความ วิเคราะห์ และข้อสันนิษฐานมากมายถูกเผยแพร่ไปทั่วอินเทอร์เน็ตจนแทบกลายเป็นเรื่องซ้ำซาก ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเลือกใช้แนวทางที่แตกต่างออกไป นั่นคือการวิเคราะห์ “ภาษาเขียน” ของซาโตชิ ผ่านการพัฒนาโปรแกรมตรวจสอบรูปแบบภาษาขึ้นมาใหม่ด้วยตนเองจากศูนย์

จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาบังเอิญไปสะดุดกับคำศัพท์คำว่า “hosed” ในข้อความของซาโตชิ ซึ่งเป็นคำสแลงแบบเก่าที่ไม่ค่อยพบเห็นในปัจจุบัน คำคำนี้ทำให้เขาเชื่อมโยงไปถึง James A. Donald หนึ่งในสมาชิกยุคแรกของกลุ่ม Cypherpunks ที่เคยใช้คำนี้ในงานเขียนของตนเองอย่างโจ่งแจ้ง และที่น่าประหลาดใจก็คือ Donald เคยอยู่ในลิสต์ผู้ต้องสงสัยห่างไกลถึงอันดับที่ 42 ของเขา การค้นพบนี้จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาต้องกลับมาทบทวนทุกอย่างใหม่อีกครั้ง

ต่อมา Wallace ได้เริ่มขุดคุ้ยประวัติของ James A. Donald อย่างจริงจัง และพบความจริงอันน่าตกใจว่า “James A. Donald” ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา อีกทั้งเขายังไม่ใช่ชาวอเมริกันหรือญี่ปุ่นอย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ แต่กลับเป็นชายชาวออสเตรเลียที่เคยใช้ชีวิตอยู่ใน Silicon Valley มาแล้วหลายปี และเมื่อเขานำชิ้นส่วนต่าง ๆ มาต่อเข้าด้วยกัน หลักฐานหลายอย่างก็เริ่มชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า Donald อาจเป็นบุคคลที่อยู่เบื้องหลังนามปากกา “ซาโตชิ นากาโมโตะ”

เมื่อจิ๊กซอว์เริ่มเรียงร้อยเป็นภาพชัดเจน Wallace จึงตัดสินใจบินตรงสู่ประเทศออสเตรเลีย เพื่อนัดพบกับชายปริศนาคนนี้ด้วยตนเอง หลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามตอบรับการสัมภาษณ์อย่างไม่คาดคิด แม้ภายในใจของเขาจะยังเต็มไปด้วยความลังเลและความหวาดหวั่น เพราะ “ซาโตชิ” ถูกยกย่องให้เป็นดั่งเทพเจ้าผู้ปลดปล่อยโลกการเงินจากระบบเดิม เป็นอัจฉริยะผู้ไร้ข้อด่างพร้อย

แต่ในขณะที่ข้อมูลเบื้องหลังของ Donald กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย… เขาคือบุคคลที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางความคิด เคยแสดงความคิดเห็นในประเด็นอ่อนไหวอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา ความเชื่อ และแนวคิดสุดโต่งที่มีลักษณะเหยียดเพศ ชาติพันธุ์ และสีผิว สิ่งเหล่านี้ทำให้ Wallace ต้องเผชิญกับคำถามสำคัญในใจ — ถ้าเขาค้นพบตัวตนของซาโตชิจริง ๆ แล้ว “เราจะยังอยากรู้จักเขาอยู่หรือเปล่า?”

แต่ไม่ว่า Donald จะเป็นซาโตชิตัวจริงหรือไม่ Wallace ก็ยังคงเชื่ออย่างหนักแน่นว่า อย่างน้อยที่สุดชายคนนี้ “ต้องรู้จักกับซาโตชิ” เป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน 

เมื่อเขาเดินทางไปถึงหน้าประตูบ้านของ Donald และได้เริ่มต้นพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้เขาแทบทรุดลงตรงนั้น เพราะ Donald ปฏิเสธทุกอย่าง เขายืนกรานว่าเขาไม่ได้เป็นซาโตชิ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้าง Bitcoin เลยแม้แต่น้อย

พอถามว่า Hal Finney เป็นซาโตชิใช่ไหมเขาก็ไม่ตอบ บอกเพียงแต่ว่าตอบไม่ได้ และปล่อยให้การสืบสวนตลอด 15 ปีของนักสืบรายนี้ต้องมาถึงทางตัน

อย่างไรก็ตามบทเรียนที่เขาได้รับจากการเดินทางอันยาวนานครั้งนี้ กลับไม่ได้อยู่ที่การเปิดโปงตัวตนของซาโตชิ หากแต่อยู่ที่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า Bitcoin ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบารมีของผู้สร้างอีกต่อไป มันได้กลายเป็นสิ่งที่ “อยู่นอกเหนือปัจเจกบุคคล” ไปซะแล้ว

แต่ไม่ว่าซาโตชิจะมีตัวตนจริงหรือไม่ ? ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มาจากไหน หรือแม้กระทั่งยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ก็ไม่ได้มีผลต่อเส้นทางของ Bitcoin อีกต่อไป เพราะมันได้เติบโตและกลายเป็นพลังที่ขับเคลื่อนโลกการเงินยุคใหม่ไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับ

และสุดท้าย สิ่งที่เขาได้เรียนรู้มากที่สุดก็คือ Satoshi Nakamoto อาจไม่ใช่คนจริง ๆ แต่อาจเป็นตัวตนในจินตนาการของใครบางคน ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็น “สัญลักษณ์” แห่งอิสรภาพ ความเปลี่ยนแปลง และจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ที่ผู้ตัวตนของผู้สร้างจริง ๆ มิอาจเป็นได้

ที่มา : nymag

ข่าวต่อไป