<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>
bitkub-2022-769x90

BlackRock ส่งสัญญาณเตือน! ดอลลาร์เสี่ยงเสียบัลลังก์ให้ Bitcoin หากหนี้สหรัฐฯ ยังพุ่งไม่หยุด

bitkub-2022-768x90
ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Larry Fink ซีอีโอ BlackRock บริษัทด้านการลงทุนชื่อดัง ได้เตือนในจดหมายถึงนักลงทุนประจำปี ว่าสถานการณ์หนี้ของสหรัฐฯ ที่นับวันยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นอาจส่งผลทำให้นักลงทุนหันเข้าหา Bitcoin ซึ่งอาจกลายเป็นภัยต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

Fink ระบุว่า ดอลลาร์สหรัฐฯ อาจสูญเสียสถานะตำแหน่งทุนสำรองของประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้กับ Bitcoin หากพวกเขาไม่สามารถจัดการหนี้ให้อยู่ภายใต้การควบคุม

เนื้อหาส่วนหนึ่งในจดหมายประจำปี Fink ได้ยกย่องว่าการเงินแบบกระจายศูนย์ “decentralized finance” ว่าเป็นนวัตกรรมที่น่าทึ่ง เพราะมันได้เพิ่มความเร็วให้กับการซื้อขายในขณะที่มีค่าใช้จ่ายถูกลง และโปร่งใสยิ่งขึ้น

แต่นวัตกรรมดังกล่าว อาจเป็นดาบสองคมที่เข้ามาทำให้ “ความได้เปรียบ” ของสหรัฐฯ ถูกลดทอนลงหากนักลงทุนต่างพร้อมใจให้ความเห็นว่า Bitcoin นั้นปลอดภัย กว่า ดอลลาร์สหรัฐฯ

ตามข้อมูลจาก Trading Economics ระบุว่า หนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในปี 2023 สูงถึง 122.3% ของ GDP ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2018 ที่อยู่ที่ 105% แม้ว่า Moody’s Ratings จะให้เครดิตเรตติ้งของสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงสุดที่ AAA แต่ก็ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือจาก “เสถียร” เป็น “เชิงลบ” แสดงให้เห็นถึงความกังวลว่าอาจมีการปรับลดอันดับเครดิตในอนาคตเพิ่มเติม

คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสหรัฐฯ (Joint Economic Committee) รายงานว่า ณ วันที่ 5 มีนาคม หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ในปัจจุบันอยู่ที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้นถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปีที่ผ่านมา หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 4.9 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นถึง 12.8 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

นอกเหนือจากประเด็นเรื่องของ Bitcoin และดอลลาร์แล้ว Fink ให้ความเห็นว่าเทคโนโลยี “Tokenization” จะเข้ามาเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ได้ช่วยทำให้การซื้อขาย หรือการทำธุรกรรมเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเอกสารจำนวนมากหรือรอขั้นตอนที่ล่าช้า อีกทั้งยังสามารถทำให้นักลงทุนเข้ามามีส่วนร่วมในการโหวตเรื่องต่าง ๆ ได้ด้วย 

ดังนั้น หากทรัพย์สินทุกอย่างถูกโทเค็นไรซ์ได้จริง “มันจะเปลี่ยนโฉมการลงทุนครั้งใหญ่” เพราะตลาดจะไม่จำเป็นต้องปิดทำการอีกต่อไป การทำธุรกรรมที่ปกติใช้เวลาหลายวัน จะสามารถดำเนินการให้เสร็จได้ภายในไม่กี่วินาที และเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่เคยติดค้างอยู่ในระบบการชำระบัญชีจะสามารถนำกลับมาลงทุนต่อได้ทันที ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตได้รวดเร็วขึ้น


ที่มา : Cointelegraph

ข่าวต่อไป