ราคา Bitcoin (BTC) อาจเผชิญแรงกดดันหนักและมีความเสี่ยงสูงที่จะร่วงแตะระดับ 71,000 ดอลลาร์ หลังจากนโยบายภาษีการค้าของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ได้ส่งแรงกระเพื่อมต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
Charles Edwards ผู้ก่อตั้งกองทุน Capriole Investments ชี้ว่าภาษีที่สูงกว่าคาดกำลังสร้างความไม่แน่นอนในตลาดธุรกิจอเมริกา ซึ่ง Bitcoin ได้ตอบสนองในเชิงลบมากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย BTC ร่วงลงถึง 8.5% ในวันที่ Trump ประกาศนโยบายภาษีใหม่ ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดด้วยการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย 0.7%
“แบบสำรวจ Philly Fed Business Outlook ในตอนนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นทางธุรกิจในระดับต่ำที่เคยเกิดขึ้นเพียงสามครั้งในรอบสองทศวรรษ ได้แก่ ปี 2000, 2008 และ 2022”
Capriole ยังระบุว่า ระดับราคาที่ต้องจับตาหลังจากเหตุการณ์นี้คือ 91,000 ดอลลาร์ ซึ่งหาก Bitcoin ปิดรายวันเหนือระดับดังกล่าว จะถือเป็นสัญญาณกลับตัวในเชิงบวก แต่หากไม่สามารถทำได้ อาจเกิดแรงขายต่อเนื่องจนราคาย่อลงสู่โซน 71,000 ดอลลาร์ ซึ่งอาจมีการดีดกลับครั้งใหญ่
“โดยเฉพาะถ้าสงครามภาษีลุกลามเกินคาด หรือบริษัทเริ่มมีกำไรลดลง ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้น”
ในอีกด้านหนึ่ง สหรัฐฯ กำลังเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Quantitative Easing) อีกครั้งในอนาคตอันใกล้ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับ Bitcoin ในระยะกลางถึงยาว
โดย Colin Talks Crypto นักวิเคราะห์สายเทคนิค กล่าวเสริมว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ปริมาณ M2 ที่กำลังจะทะลักเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ามักส่งผลให้ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นในเวลาต่อมา” โดยเขาคาดว่าอาจเห็นการฟื้นตัวของราคาช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้
และในขณะที่แรงกดดันจากภาษีและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่ การเคลื่อนไหวของราคาจะขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนมองโอกาสหรือความเสี่ยงในภาพรวมมากกว่าในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม บทความดังกล่าวเป็นเพียงแค่การเสนอข่าวเท่านั้น การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจเสียเงินทั้งจำนวนได้ ดังนั้นผู้ลงทุนควรศึกษาและประเมินความเสี่ยงก่อนที่จะลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ อยู่เสมอ
ที่มา: Cointelegraph