<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>
bitkub-2022-769x90

ราคา Bitcoin ร่วงดิ่งอย่างรุนแรง ! หลุด $76,000 หลังสหรัฐฯ ยืนยันขึ้นภาษีจีน 104%

bitkub-2022-768x90
ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

วันนี้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีต้องเผชิญกับแรงเทขายครั้งใหญ่อีกระลอก เมื่อราคา Bitcoin ร่วงดิ่งลงต่ำกว่าระดับ $76,000 โดยสาเหตุหลักมาจากการเคลื่อนไหวล่าสุดของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ได้ประกาศยืนยันการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราที่สูงถึง 104% ซึ่งเป็นการตอกย้ำความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจ และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน

การประกาศเก็บภาษีดังกล่าว จุดประกายความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะดัชนีหุ้นชั้นนำของสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 และ Nasdaq ที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 4% ในระหว่างวัน ก่อนที่จะอ่อนตัวลงและสูญเสียผลกำไรส่วนใหญ่ไปในที่สุด เช่นเดียวกับ Bitcoin ที่เคยพุ่งขึ้นไปเหนือระดับ $80,000 ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่แล้วก็กลับร่วงลงมาอย่างรวดเร็วต่ำกว่า $76,000 

อ้างอิงข้อมูลราคา BTC/USDTจาก Tradingview พบว่า ราคา Bitcoin เริ่มร่วงลงมาตั้งแต่เวลา 9.00 น. ของวันที่ 8 เมษายน จากระดับสูงสุดที่ $80,861 ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ $74,640 ในเวลา 8.00 น. ของวันที่ 9 เมษายน ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นมาที่ระดับราคา $76,000 ในขณะที่รายงาน (ตามเวลาไทย UTC+7)

ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศมาตรการภาษีที่สร้างความตกตะลึงนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้มีการเจรจากับพันธมิตรหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ซึ่งสร้างความหวังให้กับตลาดในระยะสั้นๆ ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า มีเกือบ 70 ประเทศที่แสดงความสนใจในการทำข้อตกลงทางการค้า และทรัมป์เองก็เรียกกระบวนการเจรจาเหล่านี้ว่ามันกำลังเป็นไปอย่าง “สวยงามและมีประสิทธิภาพ” 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการพูดคุยเหล่านี้ เขาก็ยังคงยืนกรานที่จะดำเนินการเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 104% โดยมีผลบังคับใช้ในเวลา 12.00 น. ของวันที่ 9 เมษายนนี้ ตามเวลาสหรัฐฯ

ทางด้านจีนเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา พวกเขาเคยออกมาตอบโต้ท่าทีข่มขู่เรื่องภาษีของทรัมป์ก่อนหน้านี้ พร้อมให้คำมั่นว่าจะ “ต่อสู้จนถึงที่สุด” และปฏิเสธสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็น “การขู่กรรโชกของสหรัฐฯ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสอันน้อยนิดที่จะมีการประนีประนอมเกิดขึ้น

ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์นี้ ได้จุดประกายความกังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อีกครั้ง โดย Goldman Sachs เพิ่งปรับเพิ่มคาดการณ์โอกาสเกิด Recession ของสหรัฐฯ ขึ้นไปอยู่ที่ 45% โดยให้เหตุผลถึงสภาวะทางการเงินที่ตึงตัวขึ้น และความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในด้านการนโยบายการค้า

ในขณะเดียวกัน JP Morgan คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน 2025 โดยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1 ครั้ง ในทุกการประชุมหลังจากมิถุนายนเป็นต้นไป และจะมีการปรับลดอีกครั้งในเดือนมกราคม ทำให้เป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุดลดลงมาอยู่ที่ 3%

นอกจากนี้ รายงานของ Bloomberg ที่อ้างถึง David Rolley ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนชื่อดัง ซึ่งมองว่า ภาษีนำเข้าเหล่านี้เป็น “ภาษีเดียวที่พวกเขาสามารถปรับขึ้นได้” ในช่วงเหตุการณ์ทางการเงินล่าสุด นอกจากนี้ Pramila Agrawal เพื่อนร่วมงานของเขายังประเมินโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ไว้สูงถึง 60% 

ในขณะที่ Andrea Dicenso นักกลยุทธ์ด้านสินทรัพย์จาก Loomis Sayles ชี้ว่า นักลงทุนกำลังเริ่มโยกย้ายเงินทุนไปยังตลาดยุโรปและละตินอเมริกา ซึ่งเธอมองว่ามีความมั่นคงมากกว่าสหรัฐฯ ในสถานการณ์ปัจจุบัน

ที่มา:cryptobriefing

ข่าวต่อไป