<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Web3 คืออะไร ? คู่มือฉบับเริ่มต้น เข้าใจง่ายใน 5 นาที

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Web 3 หรือ Web 3.0 กันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งคำนี้มักจะมาคู่กันกับเทคโนโลยีบล็อกเชน จนอาจกล่าวได้ว่า Web3 กับบล็อกเชนนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน แต่เพื่อให้เข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ยุคเริ่มต้น หรือ Web 1 ต่อเนื่องมาถึงยุคปัจจุบัน Web 2 เสียก่อน

ลองจินตนาการง่ายๆ ว่าอินเทอร์เน็ตมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาแล้วถึงสองยุค เริ่มต้นจาก Web 1 ซึ่งเปรียบเสมือน “ยุคอ่านอย่างเดียว” ไม่สามารถโต้ตอบหรือสร้างสรรค์เนื้อหาใดๆ เพิ่มเติมได้ อย่างเช่นเว็บไซต์ทั่วไป ที่สร้างขึ้นด้วย HTML บนอินเทอร์เน็ต

ต่อมาเข้าสู่ยุค Web 2 ที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นเหมือน “ยุคอ่าน-เขียน” ที่เราสามารถแสดงความคิดเห็น โพสต์รูปภาพ และโต้ตอบกันในโลกอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น เช่น โซเชียลมีเดีย Facebook, Twitter (X), Instagram และ Youtube แต่ถึงอย่างนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เราสร้างขึ้นและใช้งานยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทหรือแพลตฟอร์มขนาดใหญ่อยู่ดี

และในวันนี้ โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า Web3 หรือ “ยุคอ่าน-เขียน-เป็นเจ้าของ” ซึ่งมีแนวคิดหลักคือการกระจายอำนาจ แทนที่จะถูกควบคุมโดยองค์กรหรือบริษัทเพียงไม่กี่แห่งเหมือนในยุค Web 2  โดยข้อมูลและอำนาจการควบคุมแพลตฟอร์มถูกกระจายไปยังผู้ใช้งานมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของและตัดสินใจในระบบที่พวกเขาใช้งานอยู่

ที่มา:AnalyticsVidhya

แล้วบล็อกเชนเข้ามาเกี่ยวอะไรกับ Web3 ?

เนื่องด้วยบล็อกเชนเป็นเหมือน “สมุดบันทึกกลาง” ที่ไม่มีใครลบหรือแก้ไขข้อมูลย้อนหลังได้ง่าย ๆ ทุกคนในระบบจึงช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งความโปร่งใสและไม่ต้องพึ่งคนกลางแบบนี้แหละ ที่ทำให้มันเหมาะกับแนวคิดของ Web 3.0 มาก ๆ เพราะถ้าเราจะสร้างอินเทอร์เน็ตที่ไม่มีใครผูกขาด บล็อกเชนจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ สำหรับการเก็บข้อมูลและทำธุรกรรมอย่างปลอดภัย

ตัวอย่างชัด ๆ ของ Web 3.0 ที่ใช้บล็อกเชน

อย่างที่หลายคนอาจเคยเห็น แอปพลิเคชันแนว Web 3.0 มีให้เล่นมากมายแล้วในปัจจุบัน เช่น DeFi (การเงินไร้ตัวกลาง) ที่ให้เรากู้ ยืม ฝาก หรือแลกเปลี่ยนเงินได้โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร, เกมแนว Play-to-Earn ที่เล่นแล้วได้เงินจริง หรือแม้แต่ โซเชียลมีเดียที่แจกเหรียญ ให้คนโพสต์หรือแชร์คอนเทนต์ ทั้งหมดนี้มี “ บล็อกเชน” ทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง ช่วยเก็บข้อมูลธุรกรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่มีใครควบคุมระบบอยู่คนเดียวเหมือนแพลตฟอร์มยุคก่อน

ซึ่งจริง ๆ แล้วไอเดียทั้งหมดนี้ก็เริ่มต้นจาก “การมาของ Bitcoin (BTC)” เมื่อปี 2009 นี่แหละ! เพราะ Bitcoin เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลตัวแรกที่ใช้ บล็อกเชน ในการบันทึกธุรกรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเครือข่าย โดยไม่มีธนาคาร ไม่มีคนกลาง และไม่มีใครสามารถโกงระบบได้ง่าย ๆ จุดนี้เองที่จุดประกายแนวคิด “อินเทอร์เน็ตที่คนธรรมดาก็ควบคุมได้” ขึ้นมา

ต่อมาในปี 2013 ก็มีการเปิดตัว Ethereum (ETH) ที่ต่อยอดไอเดียของ Bitcoin ขึ้นไปอีกขั้น โดย Ethereum ไม่ได้แค่เก็บธุรกรรมอย่างเดียว แต่ยังเพิ่มฟีเจอร์ชื่อว่า “Smart Contract” ซึ่งคือโปรแกรมอัตโนมัติที่สามารถเขียนกฎต่าง ๆ ไว้ในระบบได้ เช่น ถ้ามีคนโอนเงินเข้ามา ให้ปล่อยสินค้าหรือให้เหรียญตอบแทน ซึ่งระบบแบบนี้เปิดประตูให้เกิดแอปพลิเคชัน Web 3.0 อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นเอง

ดังนั้น Web 3.0 จะเกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่มี Bitcoin ที่ปูทางไว้ในยุคแรก และไม่มี Ethereum ที่พัฒนาต่อยอดให้ระบบฉลาดขึ้น จนกลายเป็นโลกที่เราสามารถใช้เงินคริปโท โหวตโปรเจกต์ หรือแม้แต่เป็นเจ้าของเนื้อหาของตัวเองในแบบที่ไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ อีกต่อไป

สรุปสั้น ๆ ง่าย ๆ เลยก็คือ…

Web 3.0 คืออินเทอร์เน็ตเวอร์ชันใหม่ที่ “ทุกคนมีอำนาจมากขึ้น” และ “ไม่มีเจ้าใหญ่ครองอยู่คนเดียว” ส่วนบล็อกเชนก็คือ เทคโนโลยีสำคัญที่ทำให้แนวคิดนี้เป็นจริงได้ เพราะมันช่วยให้ระบบน่าเชื่อถือ โปร่งใส และไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางแบบเดิม ๆ อีกต่อไป

ที่มา:BernardMarr และ Cointelegraph