นักวิเคราะห์จาก JPMorgan ได้ออกมาแสดงมุมมองที่น่าสนใจ โดยคาดการณ์ว่า Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งจะมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและเหนือกว่าทองคำอย่างมากในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2025
ตามรายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2025 นักวิเคราะห์ Nikolaos Panigirtzoglou ได้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตาในตลาด โดยในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนเมษายน ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ราคา Bitcoin กลับลดลง แต่สถานการณ์นี้ได้พลิกผันในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อราคา Bitcoin ปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สวนทางกับราคาทองคำที่ปรับตัวลดลง
ซึ่งสถานการณ์นี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรครั้งใหญ่ หรือที่เรียกว่า “Supercycle” ของ Bitcoin ที่ขับเคลื่อนโดยโครงสร้างตลาดและการยอมรับจากสถาบัน
JPMorgan คาดการณ์ว่า แนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไป โดยมองว่า ปัจจัยกระตุ้นเฉพาะตัวของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ Bitcoin มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี 2025
มุมมองดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลตลาดล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน ราคาทองคำร่วงลงมาเกือบ 8% ซึ่งเป็นผลมาจากความคาดหวังที่ลดลงเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และตลาดหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้มีเงินทุนไหลออกจากกองทุนทองคำ ETF อย่าง SPDR Gold Trust เป็นจำนวนมาก
ในทางตรงกันข้าม Bitcoin กลับมาได้รับความนิยมพุ่งสูง โดยราคาได้ทะลุระดับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ซึ่งเป็นผลมาจากการไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมหาศาลเข้าสู่กองทุน Bitcoin ETF ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ตลาด Futures ก็ส่งสัญญาณในทิศทางเดียวกัน โดยมีการลดสถานะการถือครองทองคำ และเพิ่มการลงทุนใน Bitcoin ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงการลงทุนในวงกว้างของนักลงทุนที่หันมาสนใจสินทรัพย์เสี่ยง
JPMorgan มองว่า ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของ Bitcoin ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การลดลงของราคาทองคำเท่านั้น แต่ยังมาจากการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของทั้งภาคธุรกิจและภาครัฐ โดยขณะนี้มีบริษัทเอกชนหลายแห่งที่เริ่มเข้าซื้อ Bitcoin เพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Microstrategy (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Strategy) ที่ยังคงเดินหน้าสะสม Bitcoin อย่างต่อเนื่อง รวมถึง Metaplanet บริษัทจากญี่ปุ่นก็ได้เพิ่ม Bitcoin เข้าไปในคลังของบริษัทด้วยเช่นกัน
ในส่วนของภาครัฐ รัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการเคลื่อนไหวที่อาจนำไปสู่การยอมรับ Bitcoin เข้าสู่ระบบการเงินของรัฐอย่างเป็นทางการ โดยรัฐ “นิวแฮมป์เชอร์” ได้ผ่านกฎหมายที่อนุญาตให้ถือครอง Bitcoin และทองคำได้สูงสุด 5% ของทุนสำรองของรัฐ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญทางประวัติศาสตร์
ขณะเดียวกัน รัฐ “แอริโซนา” ก็กำลังสร้างทุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัลโดยใช้ผลตอบแทนจากการ Staking และ Airdrop โดยไม่ใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่รัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ กำลังพิจารณานำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในสถาบันอย่างมีความรับผิดชอบ
ทีมงานของ JPMorgan ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพในส่วนนี้ โดยเชื่อว่า หากมีรัฐอื่นๆ ในสหรัฐฯ พิจารณาเพิ่ม Bitcoin เข้าไปในทุนสำรองเชิงกลยุทธ์ของตนเองมากขึ้น นี่อาจกลายเป็นปัจจัยบวกที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับ Bitcoin ในระยะยาว
- ที่มาข่าว:Newsbitcoin
ที่มาภาพ:FintechIstanbul