ในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี มีไอเดียใหม่ ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวัน บางโปรเจกต์หวังจะเปลี่ยนโลก บางโปรเจกต์ตั้งเป้าจะพลิกวงการการเงิน และบางไอเดียก็ล้ำจนดูเหมือนหลุดมาจากนิยายไซไฟ แต่แม้จะมีทีมงานเก่ง เงินทุนหนา หรือพลังจากชุมชน สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถการันตี “ความสำเร็จ” ได้เสมอไป เพราะในความจริงที่โหดร้าย มีโปรเจกต์จำนวนไม่น้อยที่เริ่มต้นอย่างน่าตื่นเต้น ก่อนจะจบลงอย่างเงียบเชียบราวกับไม่เคยมีอยู่
ในบทความนี้ เราจะขอพาคุณไปรู้จักกับ 5 โปรเจกต์ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกพูดถึงว่า “จะเปลี่ยนโลก” แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นแค่ชื่อในบทเรียนของวงการคริปโทฯ
1. Basis – Stablecoin ที่อยากฉีกกฎ แต่โดนกฎฉีก

เมื่อปี 2017 ตลาดคริปโทเต็มไปด้วยความผันผวน Stablecoin อย่าง USDT ยังถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส นี่จึงเป็นเวทีที่ “Basis” โผล่ขึ้นมาพร้อมคำมั่นว่าจะปฏิวัติวงการด้วย Stablecoin แบบอัลกอริทึม ไม่พึ่งหลักทรัพย์ค้ำ ไม่ต้องผูกกับดอลลาร์ แต่ใช้ระบบ “Bond” และ “Share Token” ควบคุมอุปสงค์-อุปทาน คล้ายกับการพิมพ์เงินของธนาคารกลาง ฟังดูแล้วอัจฉริยะและน่าทึ่งมาก
โปรเจกต์นี้ได้รับเงินทุนมากถึง 133 ล้านดอลลาร์จาก VC ชั้นนำอย่าง a16z, Bain Capital และ Lightspeed เหรียญยังไม่เปิดตัว แต่คนในวงการพูดถึงกันทุกมุม เพราะมันคือความหวังที่จะสร้าง “เงินคริปโตที่มีเสถียรภาพโดยไม่ต้องพึ่งรัฐบาล” อย่างแท้จริง ทีมผู้ก่อตั้งเองก็มีโปรไฟล์แน่น ทั้งจาก Wall Street และ MIT
แต่สุดท้าย Basis กลับต้องปิดโปรเจกต์ลงอย่างน่าเสียดาย เพราะทีมกฎหมายประเมินว่าโทเคนที่ออกจะเข้าข่าย “หลักทรัพย์” และเสี่ยงโดน SEC ฟ้องแบบเดียวกับ ICO อื่น ๆ ในยุคนั้น ทีมงานเลือกยุติโครงการก่อนจะโดนเล่นงานจริง แม้จะไม่มีเหรียญหลอกลวง ไม่มี Exit Scam แต่ความฝันของ Stablecoin แบบไร้ค้ำก็ถูกพับเก็บไปโดยดี
2. Diem (ชื่อเดิม Libra) – ฝันใหญ่ของ Facebook ที่เจอโลกความจริง

ย้อนกลับไปในปี 2019 Facebook ประกาศเปิดตัวโครงการ “Libra” แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยตั้งใจจะสร้างสกุลเงินคริปโตของตัวเองเพื่อใช้จ่ายภายในเครือข่าย Facebook, WhatsApp และ Instagram เป้าหมายคือ “สร้างระบบการเงินโลกที่ทุกคนเข้าถึงได้” และจะมีองค์กรพันธมิตรอย่าง Visa, Mastercard, Uber, Spotify เข้าร่วมดูแลร่วมกันในชื่อ Libra Association
แน่นอนว่าข่าวนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก รัฐบาลสหรัฐฯ และยุโรปเริ่มกังวลว่า Libra อาจกลายเป็น “เงินสำรองโลก” แข่งกับดอลลาร์แบบเงียบ ๆ หลังเปิดตัวได้ไม่นาน สมาชิกหลักหลายรายทยอยถอนตัว Facebook จึงเปลี่ยนชื่อโปรเจกต์เป็น “Diem” ปรับโครงสร้างใหม่ ย้ายฐานไปสวิตเซอร์แลนด์ และลดความทะเยอทะยานลงเหลือแค่การใช้ในเขตจำกัด
แต่ถึงจะรีแบรนด์ใหม่ ปรับแผนใหม่ รัฐบาลก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี ปี 2022 Diem ประกาศขายทรัพย์สินโครงการให้กับ Silvergate Capital และพับโปรเจกต์ทิ้งไปเรียบร้อย เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า แม้จะมีทรัพยากรและชื่อเสียงระดับโลก แต่เมื่อเจอกำแพงการเมืองและกฎหมายก็อาจไปไม่ถึงฝันได้เหมือนกัน
3. BitClout (DeSo) – โซเชียลมีเดียบนบล็อกเชน มาแรงแต่จบเร็ว

BitClout เปิดตัวในปี 2021 ด้วยแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร: แทนที่ผู้ใช้จะโพสต์ฟรี ๆ เหมือน Facebook หรือ Twitter พวกเขาจะสามารถ “ลงทุน” ในตัวบุคคลผ่านสิ่งที่เรียกว่า Creator Coin ซึ่งแต่ละคนจะมีเหรียญของตัวเอง มูลค่าผันผวนตามความนิยม แนวคิดฟังดูเหมือนโลกแห่งการวัดมูลค่าชื่อเสียงผ่านบล็อกเชน
แค่เปิดตัววันแรก แพลตฟอร์มก็สร้างความฮือฮา เพราะมีโปรไฟล์ของคนดังอย่าง Elon Musk, Ariana Grande, Naval Ravikant ให้ซื้อเหรียญได้เลย แม้พวกเขาเหล่านี้จะไม่เคยสมัครใช้ BitClout มาก่อน สิ่งนี้ทำให้เกิดกระแสตีกลับทันที โดยหลายคนวิจารณ์ว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและ “ยึดชื่อไปขาย” อย่างไม่เหมาะสม
แม้ภายหลัง BitClout จะรีแบรนด์เป็น “DeSo” และเปิดให้นักพัฒนาภายนอกสร้างแอปบนแพลตฟอร์มได้ แต่ภาพจำของ BitClout ก็ยังฝังใจชุมชนคริปโตว่าเป็นโปรเจกต์ที่ “เร่งเกินไป” ใช้ชื่อคนดังโดยไม่ได้รับอนุญาต และขาดแผนการสร้างฐานผู้ใช้งานจริง สุดท้ายจึงเงียบหายไปจากแผนที่ Web3 อย่างรวดเร็ว
4. ICP (Internet Computer) – บล็อกเชนที่หวังจะโค่นอินเทอร์เน็ตแบบดั้งเดิม

โปรเจกต์ “Internet Computer” จาก Dfinity Foundation ถูกพูดถึงตั้งแต่ปี 2016 ในฐานะบล็อกเชนที่มีเป้าหมายทะเยอทะยานที่สุด คือการสร้าง “อินเทอร์เน็ตใหม่” ที่ไม่ต้องพึ่ง Cloud หรือ Server ของ Google, Amazon หรือ Facebook เลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างจะกระจายศูนย์และไร้ตัวกลาง 100%
หลังใช้เวลากว่า 5 ปีในการวิจัยและพัฒนา ICP เปิดตัวสู่ตลาดกลางปี 2021 ด้วยราคาพุ่งทะลุ $700 และมูลค่ารวมติด Top 10 ของโลกภายในวันเดียว นักลงทุนแห่กันเข้าซื้อด้วยความหวังว่าจะได้ถือเหรียญแห่งอนาคตที่พลิกวงการอินเทอร์เน็ตได้จริง ๆ
แต่ความฝันกลายเป็นฝันร้ายในเวลาไม่นาน ราคาของ ICP ร่วงลงกว่า 95% ภายในไม่กี่เดือน เหตุผลสำคัญคือ การเทขายของเหล่า VC การขาดผู้ใช้งานจริง ระบบที่มีความซับซ้อนมากเกินไป ไปจนถึงข้อกล่าวหาว่ามีการแทรกแซงการเทรดจากภายใน Dfinity เอง ถึงแม้โปรเจกต์ยังไม่ล่มโดยสมบูรณ์ แต่วันนี้ได้เห็นแล้วว่าจาก “อินเทอร์เน็ตแห่งอนาคต” ก็กลายเป็นแค่หนึ่งในเหรียญที่เคยดัง แล้วร่วงเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
5. Loot (for Adventurers) – โปรเจกต์ NFT ที่แหวกทุกกฎ แต่ไปไม่สุดสักทาง

ในยุคที่ NFT แข่งกันเรื่องภาพสวย งานศิลป์หรู หรือโปรเจกต์ 10,000 ตัวที่ต้องมี roadmap ชัดเจน “Loot” เปิดตัวในปี 2021 ด้วยแนวคิดที่ตรงกันข้าม ไม่มีภาพ ไม่มี roadmap ไม่มีทีมทำเกม สิ่งที่ได้คือ NFT ที่มีเพียงข้อความลิสต์ไอเท็มในเกม เช่น “Divine Robe”, “Silver Ring” หรือ “Wand of Rage” ที่สุ่มออกมาให้
สิ่งที่ทำให้ Loot เป็นไวรัลทันทีคือ การมอบอำนาจให้ “ชุมชน” เป็นคนกำหนดทิศทางเองว่า Loot จะกลายเป็นอะไร จะเอาไอเท็มไปสร้างเกม ทำจักรวาล Metaverse หรือขายต่ออย่างเดียวก็แล้วแต่เลย นักพัฒนาและศิลปินอิสระหลายคนเริ่มสร้างโลกของตัวเองขึ้นมารอบ Loot
แต่ความว้าวนั้น อยู่ได้ไม่นาน ปรากฏว่าการที่ไม่มี “ศูนย์กลาง” จริง ๆ ก็ทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่รู้จะไปทางไหนดี ชุมชนกระจายเกินไป ไม่มีระบบเชื่อมโยงกันจริง ผลงานที่เกิดขึ้นก็กระจัดกระจาย และผู้คนเริ่มหมดความสนใจ สุดท้าย Loot จึงกลายเป็น “ตำนาน NFT แนวคิดดี แต่ไม่มีทิศทาง” ที่หลายคนยังพูดถึงด้วยความเสียดาย
แม้โปรเจกต์ที่ได้กล่าวถึงข้างต้นนี้ จะไม่ประสบความสำเร็จดั่งที่ตั้งใจ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ทิ้งบทเรียนสำคัญไว้ให้กับวงการ นั่นคือ “ไอเดียดีแค่นั้นไม่พอ แต่ต้องการดำเนินงานที่มั่นคง และการทำความเข้าใจโลกแห่งความจริงด้วย”
การพัฒนาเทคโนโลยีบนบล็อกเชนไม่ใช่แค่เรื่องของโค้ดหรือทุน แต่มันคือการเดินบนเส้นบาง ๆ ระหว่างนวัตกรรมกับความเข้าใจมนุษย์และระบบเศรษฐกิจ แล้วคุณล่ะคิดว่าในยุคต่อไปโปรเจกต์ไหนจะเป็น “ดาวรุ่งตัวจริง” ?

