ในการประชุมสัมมนาระดับโลก “Proof of Talk” ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา Diogo Monica ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการทั่วไปของ Haun Ventures ได้ขึ้นเวทีบรรยายในหัวข้อ “Stablecoins: Programmable Money in a Digital World” โดยชี้ว่า สเตเบิลคอยน์ (Stablecoins) บางประเภทอาจให้ความปลอดภัยทางการเงินมากกว่าการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิม

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ Monica ยกขึ้นมา คือโครงสร้างเงินสำรองของสเตเบิลคอยน์บางเหรียญที่ฝากไว้กับธนาคารระดับโลกในกลุ่ม G-SIBs (Global Systemically Important Banks) หรือผูกกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น ซึ่งจัดเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงและมีสภาพคล่องสูง ช่วยให้ผู้ถือเหรียญสามารถมั่นใจในความสามารถในการรักษามูลค่าได้ แม้ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ
ในทางกลับกัน เงินฝากในธนาคารพาณิชย์มักถูกจัดเป็น “หนี้สิน” ของธนาคาร หากธนาคารประสบปัญหาทางการเงินหรือล้มละลาย ผู้ฝากอาจสูญเสียเงินโดยเฉพาะในกรณีที่ยอดเงินอยู่นอกขอบเขตความคุ้มครองของระบบประกันเงินฝากของรัฐ
อย่างไรก็ตาม Monica ไม่ได้แต่แง่ความปลอดภัยของสเตเบิลคอยน์เท่านั้น แต่ยังเตือนว่า ความมั่นคงของสเตเบิลคอยน์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินสำรองเพียงอย่างเดียว แต่ยังพึ่งพา ความโปร่งใส และธรรมาภิบาลของผู้ออกเหรียญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และ Monica ยังยกตัวอย่างในกรณีของ USDT ผู้ออกสเตเบิลคอยน์รายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งแม้จะมีส่วนแบ่งตลาดสูง แต่กลับยังไม่เคยผ่านการตรวจสอบบัญชีอย่างเป็นทางการจากบริษัทบัญชีอิสระรายใหญ่เลย
นอกจากนี้ Tether ยังเคยเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักในช่วงปลายปี 2018 เพราะบริษัท Bitfinex ที่มีความเชื่อมโยงกับ Tether สูญเสียการเข้าถึงเงินทุนจากบริษัทประมวลผลการชำระเงิน Crypto Capital เป็นมูลค่ากว่า 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงส่งผลให้ Tether ต้องนำเงินสำรองกว่า 625 ล้านดอลลาร์ ไปช่วยเหลือ Bitfinex โดยไม่มีการเปิดเผยต่อตลาดในช่วงเวลานั้น
ถึงแม้ Bitfinex จะทยอยชำระคืนทั้งหมด โดยโอนเงินงวดสุดท้ายเป็นจำนวน 550 ล้านดอลลาร์ ในช่วงต้นปี 2021 แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ก่อให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้เงินสำรองในลักษณะที่อาจขัดต่อวัตถุประสงค์ของการค้ำประกันมูลค่าเหรียญ
ขณะที่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา Paolo Ardoino CEO ของ Tether เปิดเผยว่า บริษัทกำลัง “อยู่ระหว่างการหารือกับบริษัทบัญชี Big Four” เพื่อจัดทำการตรวจสอบเงินสำรองแบบเต็มรูปแบบ และจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการประกาศผลตรวจสอบอย่างเป็นทางการออกมาแต่อย่างใด
ด้าน Justin Bons ผู้ก่อตั้งกองทุน Cyber Capital มีความเห็นว่า Tether คือหนึ่งใน “ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อระบบคริปโทฯ” เนื่องจาก รายงานของผู้สอบบัญชีที่บริษัทเผยแพร่นั้น ไม่ใช่การตรวจสอบ (audit) อย่างแท้จริง แต่เป็นเพียงรายงานรับรอง (attestation)เท่านั้น ซึ่งไม่ได้แสดงให้เห็นการตรวจสอบโดยบุคคลที่สามแบบไม่จำกัดเลย
ทั้งนี้ สเตเบิลคอยน์จะมีจุดแข็งในด้านโครงสร้างการเงิน แต่ความยั่งยืนในระยะยาวยังต้องอาศัยความโปร่งใส การกำกับดูแล รวมถึงความรับผิดชอบจากผู้ออกเหรียญอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่า การพัฒนาเกณฑ์กำกับดูแล การตรวจสอบบัญชีแบบอิสระ และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส จะเป็นปัจจัยชี้ชะตาเสถียรภาพของสเตเบิลคอยน์ในอนาคตของระบบการเงินโลก
ที่มา : cointelegraph

