ทางการสหรัฐฯ และจีน ประกาศว่า พวกเขาบรรลุข้อตกลงกรอบการทำงานที่จะช่วยลดความตึงเครียดทางการค้าของทั้งสองลงได้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ โฮเวิร์ด ลุตนิค เปิดเผยว่า ข้อตกลงนี้จะช่วยคลี่คลายข้อจำกัดที่เคยมีต่อแร่หายากและแม่เหล็ก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่
การประกาศดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังการเจรจาอย่างเข้มข้นกินระยะเวลานาน 2 วัน ในกรุงลอนดอน ระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกรุงปักกิ่งและวอชิงตัน ดี.ซี. โดยวาระสำคัญของการหารือคือ ประเด็นการส่งออกแร่หายากของจีนที่โลกกำลังจับตา
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนที่แล้ว ทั้งสองประเทศได้ตกลงพักรบชั่วคราว ในด้านมาตรการภาษีนำเข้า แต่หลังจากนั้น ต่างฝ่ายต่างก็กล่าวหากันว่าละเมิดข้อตกลงที่ทั้งสองได้ให้ไว้
ด้านสหรัฐฯ ชี้ว่า จีนดำเนินการล่าช้าในการส่งออกแร่หายากและแม่เหล็ก ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตสินค้าอย่างสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน วอชิงตัน ดี.ซี. ก็จำกัดการเข้าถึงสินค้าสหรัฐฯ ของจีน เช่น เซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยี AI
Lutnick เน้นย้ำว่า “เราได้บรรลุข้อตกลงกรอบการทำงานเพื่อดำเนินการตามข้อตกลงที่กรุงเจนีวา” พร้อมเสริมว่า “เมื่อประธานาธิบดีทั้งสองอนุมัติ เราก็จะเดินหน้าตามแผนการดังกล่าวทันที”
จับตาเส้นทางสู่การอนุมัติของสองผู้นำ ‘ทรัมป์-สี จิ้นผิง’
การเจรจารอบใหม่นี้ ต่อเนื่องมาจากการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ยืนยันว่า “ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงกัน เพื่อดำเนินการตามสิ่งที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้ทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน และการหารือกันในการประชุมที่กรุงเจนีวา” แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าครั้งสำคัญ
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา การที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากหลายประเทศ ส่งผลให้จีนได้รับผลกระทบหนักสุด ปักกิ่งจึงตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งจุดชนวนให้เกิดสงครามภาษีที่ดุเดือด จนไปสูงสุดที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจีน 145%
อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม การเจรจาที่กรุงเจนีวา ได้นำไปสู่การพักศึกแบบชั่วคราว ซึ่งส่งผลให้สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเหลือเพียง 30% และจีนก็ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือเพียง 10% พร้อมทั้งสัญญาว่า จะยกเลิกข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก โดยให้เวลาทั้งสองฝ่าย 90 วัน ในการบรรลุข้อตกลงทางการค้า

การบรรลุข้อตกลงล่าสุดนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจนำไปสู่การยุติความตึงเครียดทางการค้า และฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ได้อีกครั้ง นักลงทุนคงต้องจับตาดูต่อไปว่า ประธานาธิบดี ‘ทรัมป์’ และ ประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ จะให้ไฟเขียวกับข้อตกลงนี้เมื่อใด
สถานการณ์ปัจจุบัน เหลือเพียงแค่ขั้นตอนสุดท้าย นั่นคือ รอให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายอย่างประธานาธิบดี ‘ทรัมป์’ และ ‘สี จิ้นผิง’ เซ็นอนุมัติข้อตกลงดังกล่าว หากผ่านความเห็นชอบจากทั้งสอง ก็มีโอกาสสูงที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศจะยุติลงอย่างสมบูรณ์
ที่มา:bbc

