เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 50 ปี โดยมีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงอีก ตามรายงานฉบับใหม่ของ S&P Global ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินระดับโลก
รายงานระบุว่าค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วจากหลายปัจจัย ได้แก่ นโยบายภาษีนำเข้า, ความกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) , ปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นและความกลัวเรื่องของเงินเฟ้อ
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (US Dollar Index หรือ DXY) ซึ่งใช้วัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ ร่วงลงถึง 10.8% ตั้งแต่ต้นปี นับเป็นการร่วงลงหนักที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกนับตั้งแต่ปี 1973 และปัจจุบันค่าเงินดอลลาร์อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่ายังมีแนวโน้มจะอ่อนค่าต่อไป
จุดเริ่มต้นของการร่วงลงของดอลลาร์เริ่มต้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม โดย Derek Halpenny ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของธนาคาร MUFG กล่าวว่า “จุดชนวนของการเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจมาจากความไม่แน่นอนของนโยบาย โดยเฉพาะด้านการค้า และลักษณะของการจัดทำนโยบายที่ไม่เป็นระบบ”
ขณะเดียวกัน Elias Haddad นักกลยุทธ์เศรษฐกิจมหภาคระดับโลกจาก Brown Brothers Harriman เตือนว่า ค่าเงินดอลลาร์กำลังถูกฉุดรั้งจากปัจจัยหลายประการที่อาจก่อให้เกิด “แรงกดดันเชิงโครงสร้าง” ในระยะยาว
“แม้ดอลลาร์ยังคงมีสถานะโดดเด่นในเวทีโลก ทั้งในฐานะสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หน่วยวัดมูลค่า และแหล่งเก็บมูลค่า แต่ความเชื่อมั่นที่ลดลงในด้านนโยบายการค้า การคลัง และความมั่นคงของสหรัฐฯ รวมถึงการแทรกแซงทางการเมืองต่อความเป็นอิสระของ Fed กำลังคุกคามบทบาทของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองหลักของโลก”
ณ เวลาที่รายงาน ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) อยู่ที่ระดับ 97.03 ซึ่งถือว่าอยู่ในแนวโน้มขาลง และมีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงอีกหากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองยังดำเนินต่อไป
ที่มา : DailyHodl