คอเนอร์ โกรแกน ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Coinbase แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตชื่อดังของสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลน่าสนใจผ่าน X เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เบื้องหลังเหรียญมีม ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จำนวนมหาศาลบนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Pump.fun และ LetsBonk นั้น ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของ “บอทอัตโนมัติ” ที่ปั๊มเหรียญใหม่ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
วันที่ 7 กรกฎาคม ช่วงตี 1 โกรแกนได้แชร์กราฟที่แสดงให้เห็นว่า บัญชีผู้ใช้งานอันดับต้นๆ บน LetsBonk มีค่าเฉลี่ยการสร้างเหรียญใหม่ 1 เหรียญทุกๆ 3 นาทีในช่วง 1 วันที่ผ่านมา
ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า หากนับเฉพาะ 13 วอลเล็ตที่ใช้งานบ่อย ๆ วอลเล็ตเหล่านี้สร้างเหรียญใหม่รวมกันมากถึง 4,281 สกุลภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวเลขที่เป็นไปไม่ได้เลยหากเป็นผู้ใช้งานปกติ
ขณะเดียวกันข้อมูลจาก Dune Analytics ได้เพิ่มน้ำหนักให้กับข้อมูลดังกล่าว โดยระบุว่า วอลเล็ตที่สร้างเหรียญเยอะที่สุดบนแพลตฟอร์ม LetsBonk ได้สร้างไปแล้วถึง 4,669 สกุล ขณะที่วอลเล็ตอันดับสองได้สร้างเหรียญไปแล้วเกือบ 2,400 สกุล ซึ่งในรอบ 24 ชั่วโมงล่าสุดเพียงวันเดียว ได้สร้างเหรียญใหม่ไปเกือบ 500 สกุล
ในจำนวนเหรียญทั้งหมดเกือบหมื่นเหรียญที่ถูกสร้างจากวอลเล็ตสองอันดับแรก มีเหรียญที่ “ประสบความสำเร็จ” หรือที่เรียกว่า “Graduated” เพียง 37 สกุลเท่านั้น โดยการ “Graduated” หมายถึงเหรียญที่มีปริมาณการซื้อขายมากพอที่จะได้ไปลิสต์บนกระดานเทรดแบบกระจายศูนย์ (DEX) ซึ่งจะช่วยนักลงทุนเข้าถึงได้ในวงกว้างขึ้น
ถึงแม้จะมีบอทเข้ามาสร้างเหรียญจำนวนมาก แต่ LetsBonk ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้างเหรียญบน Solana ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายเดือนเมษายน กลับกำลังได้รับความนิยมแซงหน้าคู่แข่งอย่าง Pump.fun ทั้งในด้านรายได้และจำนวนเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นใหม่
ข้อมูลจาก DefiLlama ชี้ว่าในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา LetsBonk สร้างรายได้ถึง 1.23 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่ารายได้ของ Pump.fun ที่ทำได้ประมาณ 520,400 ดอลลาร์เกือบเท่าตัว ในด้านจำนวนเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นในวันจันทร์ LetsBonk มีเหรียญใหม่เกิดขึ้นกว่า 22,000 สกุล เทียบกับ Pump.fun ที่มีเพียง 9,800 สกุลเท่านั้น ตามข้อมูลจาก Dune
สุดท้ายแล้ว ความคึกคักของการสร้างเหรียญใหม่ที่เยอะขนาดนี้ กลับสวนทางกับภาพรวมของตลาดเหรียญมีมที่ยังคงซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าตลาดรวมของเหรียญมีมได้ลดลง 2.6% ในรอบวันที่ผ่านมา เหลืออยู่ที่ 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวโน้มขาลงต่อเนื่องนับตั้งแต่เคยทำจุดสูงสุดที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ที่มา: cointelegraph

