รัฐบาลนิวซีแลนด์ประกาศใช้มาตรการปฏิรูปอุตสาหกรรมคริปโตครั้งใหญ่เพื่อต่อต้านการฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงิน โดยมีคำสั่งให้ยกเลิกการใช้งานตู้ ATM คริปโตทั่วประเทศ พร้อมทั้งกำหนดเพดานการโอนเงินสดระหว่างประเทศไว้ที่ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อครั้ง
นิโคล แมคคี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เปิดเผยมาตรการดังกล่าวในแถลงการณ์วันนี้ (9 กรกฎาคม 2025) โดยเป็นส่วนหนึ่งของการยกเครื่องกฎหมายต่อต้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ของประเทศ การปฏิรูปครั้งนี้จะรวมถึงการแบนตู้ ATM คริปโตทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 220 เครื่องทั่วประเทศ และการกำหนดเพดานการโอนเงินสดระหว่างประเทศไว้ที่ 5,000 ดอลลาร์ เพื่อตัดช่องทางที่อาชญากรใช้ในการโยกย้ายเงินทุนที่ผิดกฎหมาย
“เราจะทำให้มันยากขึ้นสำหรับอาชญากรในการแปลงเงินสดไปเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงอย่างคริปโตเคอร์เรนซีด้วยการแบนตู้ ATM คริปโต” แมคคีกล่าว “รัฐบาลชุดนี้มีความจริงจังในการจัดการกับอาชญากร ไม่ใช่การสร้างกฎเกณฑ์ที่ไม่จำเป็นมาเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจที่ถูกกฎหมาย”
การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นหลังจากรายงานในเดือนเมษายนโดยกลุ่มที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ พบว่า กลุ่มอาชญากรได้หันมาใช้ตู้ ATM คริปโตเพื่อแปลงเงินสดเป็นคริปโตและส่งต่อไปยังต่างประเทศอย่างรวดเร็ว เพื่อใช้ในการชำระค่ายาเสพติดหรือธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง นอกจากนี้ การปฏิรูปยังจะให้อำนาจใหม่แก่หน่วยข่าวกรองทางการเงิน (FIU) ในการเรียกดูข้อมูลอย่างต่อเนื่องจากธนาคารเกี่ยวกับบุคคลที่ถูกตั้งค่าสถานะว่ามีกิจกรรมที่น่าสงสัย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยืนยันว่า การปฏิรูปครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การสร้างภาระให้ธุรกิจที่ถูกกฎหมาย โดยมีร่างกฎหมายปฏิรูป AML สองฉบับที่อยู่ในรัฐสภาและคาดว่าจะผ่านก่อนสิ้นปี ซึ่งจะช่วย “ขจัดข้อกำหนดด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สร้างภาระมากที่สุดบางส่วนออกไป” แมคคีเสริมว่า “นี่ไม่ใช่การลดมาตรฐาน แต่เป็นการนำมาตรฐานมาปรับใช้อย่างชาญฉลาด”
นิวซีแลนด์ไม่ใช่ประเทศแรกที่ประกาศควบคุม ATM คริปโต เพราะเมื่อเดือนที่แล้ว หน่วยงานข่าวกรองทางการเงินของออสเตรเลีย (AUSTRAC) ก็ได้ออกกฎใหม่สำหรับผู้ประกอบการตู้ ATM คริปโต ซึ่งรวมถึงการจำกัดเพดานการฝาก-ถอนเงินสดไว้ที่ 5,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย และเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบลูกค้า ขณะที่เมืองสโปแคน ในรัฐวอชิงตันของสหรัฐฯ ได้ประกาศแบนตู้ ATM คริปโตโดยสิ้นเชิง หลังจากข้อมูลของ FBI ชี้ว่ามีความสูญเสียจากการฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับเครื่อง ATM เหล่านี้สูงถึง 5.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024
การเคลื่อนไหวของนิวซีแลนด์และอีกหลายประเทศทั่วโลกครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่หลายฝ่ายเชื่อว่าคริปโตเคอร์เรนซีกำลังจะก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ‘ตู้ ATM คริปโต’ ซึ่งควรจะเป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญ กลับกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่กลุ่มอาชญากรใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินและฉ้อโกง
จึงเกิดเป็นคำถามสำคัญว่าทิศทางในอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะสื่อกลางการแลกเปลี่ยนจะเป็นอย่างไรต่อไป และจากแนวโน้มการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นทั่วโลก ก็มีความเป็นไปได้ว่าเราอาจจะได้เห็นการพิจารณาออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลการใช้งานคริปโตในลักษณะเดียวกันนี้ในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้เช่นกัน
ที่มา: decrypt, cointelegraph

