Jameson Lopp ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) และผู้ร่วมก่อตั้ง Casa ได้เสนอการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อซอฟต์แวร์ของ Bitcoin เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา เพื่อรับมือกับภัยคุกคามร้ายแรงที่อาจเกิดจาก ‘ควอนตัมคอมพิวเตอร์’ ซึ่งคาดว่าอาจเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า
ข้อเสนอของ Lopp ที่ร่วมกันสร้างโดยนักพัฒนาอีกห้าคน จะมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นให้เจ้าของ Bitcoin หันมาใช้วิธีการจัดเก็บสินทรัพย์ที่เข้ารหัสอย่างแข็งแกร่งและปลอดภัยจากควอนตัม เขาเน้นย้ำว่า “นี่จะเปลี่ยนความปลอดภัยจากควอนตัมให้เป็นแรงจูงใจส่วนบุคคล หากคุณไม่ยอมอัปเกรด คุณก็จะสูญเสียการเข้าถึงเงินของคุณอย่างแน่นอน”
ผู้เชี่ยวชาญหลายรายกำลังแสดงความกังวลว่า ควอนตัมคอมพิวเตอร์อาจถูกนำมาใช้เพื่อถอดรหัส Private Key ของกระเป๋าเงิน ทำให้ Bitcoin จำนวนมหาศาลอาจไหลทะลักเข้าสู่ตลาด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Liquidation Event” โดย Lopp ย้ำว่าชุมชน Bitcoin จำเป็นต้องรวมตัวกันและหาข้อสรุปเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้
ภายใต้ข้อเสนอใหม่นี้ การโอนเงินไปยังที่อยู่ที่เสี่ยงต่อควอนตัมจะถูกห้ามในอนาคต เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนไปใช้ที่อยู่ Bitcoin แบบใหม่ที่มีชื่อว่า “Post-Quantum” แทน
นอกจากนี้ ในอีกห้าปีข้างหน้า จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้ Bitcoin ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงถูกแฮ็กโดยควอนตัมถูกนำมาใช้จ่าย และยังมีแผนในการจัดตั้ง Bitcoin Improvement Proposal (BIP) แยกต่างหาก เพื่อช่วยกู้คืน Bitcoin ที่อาจถูกอายัดไว้ เพื่อความปลอดภัยจากควอนตัม
ความคิดริเริ่มของ Lopp ถูกเปิดเผยในการประชุม Quantum Bitcoin Summit ที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นเวทีที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญมาหารือและหาทางลดผลกระทบจากภัยคุกคามควอนตัม แม้ว่าข้อเสนอนี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงกับ Bitcoin เพียงประมาณ 25% ของอุปทานทั้งหมด ซึ่ง Deloitte ประเมินว่ามีความเสี่ยงจากควอนตัม แต่ผู้จัดทำก็ยืนยันว่า ภัยคุกคามที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ จำเป็นต้องได้รับการตอบสนองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเหรียญจำนวนนี้ ยังรวมถึง Bitcoin ประมาณ 1 ล้าน BTC ที่เชื่อกันว่าเป็นของ Satoshi Nakamoto อีกด้วย
ข้อเสนอนี้ยังอ้างอิงถึง BIP 360 ซึ่งเป็นการอัปเกรดที่ออกแบบโดย Hunter Beast วิศวกรโปรโตคอลระดับอาวุโสของ Anduro เพื่อนำเสนอประเภทที่อยู่ใหม่ที่ใช้การเข้ารหัสแบบ Post-Quantum ซึ่งมีระดับความปลอดภัยที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอเหล่านี้ จะถูกเผยแพร่ไปยังคลังเก็บ Bitcoin Core บน GitHub ในรูปแบบ BIP เพื่อให้มีการอภิปรายและปรับปรุงก่อนนำไปใช้งานจริง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการเห็นพ้องต้องกันของชุมชน ซึ่งอาจใช้เวลานานพอสมควร
ที่มา:cryptopolitan