นาย Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan Chase ธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับโลก ได้กล่าวในระหว่างการรายงานผลประกอบการเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า ธนาคารมีแผนที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับ Stablecoin มากขึ้น แม้ว่าตัวเขาเองจะยังคงตั้งคำถามถึงประโยชน์ใช้สอยที่แท้จริงของมันเมื่อเทียบกับระบบการชำระเงินแบบดั้งเดิมก็ตาม
“เราจะเข้าไปมีส่วนร่วมทั้งใน JPMorgan Depositcoin และ Stablecoin เพื่อที่จะเข้าใจมันและทำมันให้ดี” Dimon กล่าว “ผมคิดว่ามันเป็นของจริง แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงต้องการ Stablecoin แทนที่จะเป็นการชำระเงินแบบปกติ” ความเห็นที่ดูย้อนแย้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่ Stablecoin ซึ่งเป็นคริปโตเคอร์เรนซีที่ผูกมูลค่าไว้กับเงินตราหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐ กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญและได้รับการยอมรับในระบบการเงินในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยถูกนำมาใช้เป็นทางเลือกที่เร็วกว่าและถูกกว่าสำหรับการชำระเงินข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ประกอบกับทิศทางด้านกฎระเบียบในสหรัฐฯ ที่ดูเป็นใจมากขึ้น หลังจากที่วุฒิสภาได้ผ่านร่างกฎหมาย GENIUS Act ไปแล้ว
แม้ว่า Dimon จะเป็นผู้ที่แสดงความกังขาต่อคริปโตเคอร์เรนซีมาอย่างยาวนาน แต่ธนาคาร JPMorgan กลับเป็นหนึ่งในผู้นำยุคแรกๆ ในด้านเทคโนโลยี Tokenization ผ่านเครือข่ายบล็อกเชนส่วนตัวอย่าง Kinexys (หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมว่า Onyx) ปัจจุบัน ธนาคารได้ใช้ JPM Coin ในการชำระธุรกรรมมูลค่าสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน และเมื่อเดือนที่แล้วก็ได้มีการนำร่อง Deposit Token ที่ชื่อว่า JPMD บนเครือข่าย Base ซึ่งเป็นบล็อกเชนที่สร้างโดย Coinbase อีกด้วย
เหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการ “ต้องโดดเข้าร่วม” ครั้งนี้ คือการที่ Dimon มองเห็นภัยคุกคามจากบริษัทฟินเทคที่กำลังใช้ Stablecoin และเครื่องมือบล็อกเชนเพื่อรุกคืบเข้ามาในธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิม “คนพวกนี้ฉลาดมาก” เขากล่าว “พวกเขากำลังพยายามหาวิธีสร้างบัญชีธนาคาร, เข้ามาในระบบการชำระเงิน และโปรแกรมสะสมคะแนน” “เราต้องตระหนักถึงเรื่องนั้น… และวิธีที่จะตระหนักได้ดีที่สุดก็คือการเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยตัวเอง” ตัวอย่างที่ชัดเจนคือสตาร์ทอัปอย่าง Dakota ที่ให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดนด้วยดอลลาร์สหรัฐโดยใช้ Stablecoin เป็นระบบหลังบ้าน และเพิ่งระดมทุนได้ 12.5 ล้านดอลลาร์เพื่อขยายบริการไปยังกว่า 100 ประเทศ การตัดสินใจของ JPMorgan ในครั้งนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า แม้จะยังไม่เชื่อมั่นเต็มร้อย แต่พวกเขาพร้อมที่จะเรียนรู้และปรับตัวเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในโลกการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
ที่มา: coindesk

