เมื่อคืนวานนี้ (16 ก.ค.) ตลาดคริปโตได้ตอบรับปัจจัยเชิงบวกจากตัวเลขเงินเฟ้อระดับผู้ผลิตของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ราคา Bitcoin ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงกลางดึก โดยทะยานจากระดับ $117,000 ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ $120,000 ชั่วคราวในช่วงเวลาประมาณตีสามตามเวลาไทย ก่อนจะเริ่มปรับฐานอ่อนตัวลงอีกครั้งในช่วงเช้าวันนี้
แรงส่งในรอบนี้มาจากการประกาศดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนมิถุนายน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครื่องชี้วัดอัตราเงินเฟ้อที่สำคัญในระดับต้นน้ำของระบบเศรษฐกิจ โดยตัวเลข Headline PPI ปรับตัวขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 2.5% ขณะเดียวกัน ตัวเลขรายเดือน (MoM) ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 0.0% สวนทางกับการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%
ด้าน Core PPI ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานก็ออกมาต่ำกว่าคาดเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 2.6% YoY และคงที่ที่ 0.0% MoM ต่างจากการคาดการณ์ที่ 2.7% และ 0.2% ตามลำดับ ข้อมูลชุดนี้สะท้อนภาพของแรงกดดันเงินเฟ้อที่เริ่มอ่อนตัวลงในฝั่งผู้ผลิต ซึ่งอาจเปิดทางให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงินมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของ “การลดดอกเบี้ย” ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง Bitcoin
แม้ราคา Bitcoin จะยังไม่สามารถยืนเหนือ $120,000 ได้อย่างมั่นคง แต่การดีดตัวแรงท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลาย เป็นสิ่งที่ทำให้นักวิเคราะห์บางรายเริ่มกลับมาคาดการณ์ถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับปัจจัยพื้นฐานอื่น เช่น ปริมาณการถือครอง BTC โดยนักลงทุนรายใหญ่ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และความสนใจของสถาบันที่ยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว ตลาดคริปโตยังคงจับตาดู ผลการโหวตร่างกฎหมาย Genius Act อย่างใกล้ชิดในช่วงสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกรอบการกำกับดูแล Stablecoin ในสหรัฐฯ และถ้าหากผ่าน อาจส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในคริปโตชัดเจนขึ้น และดึงดูดนักลงทุนสถาบันเข้ามาได้มากขึ้นในระยะยาว
ในขณะที่รายงาน Bitcoin มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $118,066 เพิ่มขึ้น 0.54% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ตามข้อมูลจาก CoinMarketCap
