Jan Hatzius หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิจัยการลงทุนระดับโลกของ Goldman Sachs ออกมาเตือนว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาลงระยะยาว ซึ่งอาจลากยาวไปอีกหลายปี
ในพอดแคสต์ล่าสุด Hatzius กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวได้บางส่วนหลังจากความปั่นป่วนในตลาดช่วงเดือนเมษายนที่เกิดจากสงครามการค้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ค่าเงินดอลลาร์กลับยังคงอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
“ดอลลาร์กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้างระยะยาว มากกว่าจะเป็นผลจากมุมมองเศรษฐกิจระยะสั้น” Hatzius กล่าว พร้อมเปรียบเทียบดอลลาร์เป็น “หมาที่ไม่เห่า” หรือสัญญาณเตือนที่มักถูกมองข้าม
เขาอธิบายว่า ค่าเงินดอลลาร์ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบในเชิงดัชนีน้ำหนักการค้า (Trade-Weighted Index) ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นสัญญาณล่วงหน้าของการอ่อนค่าลงในช่วงปีต่อ ๆ ไป
Hatzius เน้นย้ำถึง “บัญชีเดินสะพัดขาดดุล” ของสหรัฐฯ ซึ่งในเดือนเมษายนปีนี้มีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการขาดดุลดังกล่าวจะต้องได้รับการชดเชยด้วยการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างชาติ เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นของบริษัทสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อาทิความกังวลเรื่อง “ความเป็นอิสระของ Fed” และความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจส่งผลให้ต่างชาติเริ่มลดการลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระทบโดยตรงต่อความสามารถของสหรัฐฯ ในการดึงดูดเงินทุน
“นี่ไม่ใช่วิกฤตแบบตื่นตระหนก แต่เป็นสถานการณ์ที่ทำให้การหาเงินทุนต่างชาติทำได้ยากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ในระยะยาว”
ในขณะที่ Hatzius แสดงความกังวล ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) ซึ่งใช้วัดประสิทธิภาพของดอลลาร์เทียบกับกลุ่มสกุลเงินหลัก เช่น ยูโร เยน และปอนด์ ก็ได้ร่วงลงมาแล้วกว่า 10% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน
หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป อาจกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในด้านต่าง ๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาล และแรงซื้อของประชาชนในต่างประเทศ รวมถึงอาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดการเงินทั่วโลกที่ผูกกับสกุลเงินดอลลาร์
ที่มา : DailyHodl

