สำนักงานการเงินฮ่องกง (HKMA) เตรียมบังคับใช้กฎระเบียบใหม่สำหรับ Stablecoin ในวันศุกร์นี้ โดยกำหนดช่วงเปลี่ยนผ่าน (transition period) เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อเปิดทางให้ผู้ออกเหรียญสามารถดำเนินการภายใต้ใบอนุญาตชั่วคราวได้ ข้อมูลจากสื่อท้องถิ่น Radio Television Hong Kong ระบุว่า หากผู้ออก Stablecoin ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎใหม่ได้ภายใน 3 เดือนแรก จะต้องทยอยยุติการดำเนินงานภายใน 4 เดือน ขณะที่ผู้ที่ HKMA ประเมินว่าไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะปฏิบัติตามกฎได้เลย จะถูกสั่งปิดกิจการภายในหนึ่งเดือนนับจากวันที่ได้รับแจ้ง
HKMA ระบุว่าจะออกใบอนุญาตรอบแรกให้กับผู้ออก Stablecoin แต่จำนวนใบอนุญาตจะมีจำกัด และจะไม่เปิดเผยรายชื่อผู้สมัครในระยะเริ่มต้น กรอบกำกับใหม่ของฮ่องกงกำหนดให้ผู้ออก Stablecoin ต้องมีคุณสมบัติหลายด้าน เช่น การสำรองสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงเต็มจำนวน สามารถคืนเงิน (redemption) ภายในหนึ่งวันทำการ ต้องมีสำนักงานอยู่ในฮ่องกงและมีทรัพยากรทางการเงินเพียงพอ รวมถึงจัดทำขั้นตอน KYC (Know Your Customer) ตรวจสอบเจ้าของกระเป๋าเงินดิจิทัล ดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมอย่างต่อเนื่อง และทำการ blacklist ที่อยู่กระเป๋าเงินที่มีความเสี่ยงสูง
HKMA จะมีอำนาจสืบสวนและบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ ซึ่งรวมถึงการปรับเงิน การออกคำเตือนต่อสาธารณะ การระงับหรือเพิกถอนใบอนุญาต และการส่งเรื่องต่อเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ฮ่องกงยังมีแผนที่จะกำหนดโทษทางอาญากับผู้โปรโมท Stablecoin ที่ไม่มีใบอนุญาตในพื้นที่ด้วย
ก่อนที่กฎใหม่จะมีผลบังคับใช้ มีผู้เล่นรายใหญ่หลายรายเร่งขยับเข้าสู่ตลาดนี้ อาทิ JD.com ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีน ที่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการออก Stablecoin ภายใต้บริษัทย่อย JD Coinlink และเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ Stablecoin sandbox ของ HKMA เช่นเดียวกับ Ant International ในเครือ Alibaba Group ที่เตรียมยื่นขอใบอนุญาตผู้ออก Stablecoin ทั้งในฮ่องกงและสิงคโปร์ ซึ่ง Ant Group เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มจ่ายเงินดิจิทัล Alipay ที่มีผู้ใช้กว่า 1.3 พันล้านคนทั่วโลก
นอกจากนี้ Standard Chartered Bank Hong Kong, Animoca Brands และ Hong Kong Telecommunications ได้ประกาศจัดตั้งบริษัทร่วมเพื่อออก Stablecoin ที่อ้างอิงค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การออกกฎระเบียบใหม่นี้สะท้อนถึงความพยายามของฮ่องกงในการสร้างมาตรฐานและความน่าเชื่อถือให้กับ Stablecoin เพื่อแข่งขันในฐานะศูนย์กลางการเงินระดับโลก ขณะเดียวกันก็เป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันด้านความเสี่ยงจากตลาดคริปโตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ที่มา : cointelegraph