เมื่อวานนี้ (30 กรกฎาคม) ทำเนียบขาวสหรัฐฯ ได้เปิดเผยรายงานนโยบายคริปโตฉบับเต็มความยาว 163 หน้า ซึ่งเป็นเอกสารที่ชุมชนคริปโตเฝ้ารอคอยมานาน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภาพรวมของรายงานฉบับนี้ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการผลักดันอุตสาหกรรมคริปโตตลอดช่วงปีที่ผ่านมา
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลายคยผิดหวังคือ เนื้อหาโดยรวมกลับไม่ได้นำเสนอข้อมูลใหม่ๆ ให้กับคนในวงการมากนัก โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญอย่าง “คลังสำรอง Bitcoin” ของรัฐบาลกลางที่ยังคงไร้ความชัดเจน และถูกกล่าวถึงเพียงเล็กน้อยในสรุปหน้าสุดท้ายของรายงานเท่านั้น
แม้รายงานฉบับนี้ จะถูกมองว่าเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับใช้วัดความก้าวหน้าของนโยบายรัฐ แต่คนในวงการต่างผิดหวังที่ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับแผนสำรองคริปโตที่เคยถูกประกาศไปก่อนหน้านี้
ทางด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวยืนยันว่า โครงสร้างพื้นฐานของโครงการดังกล่าวกำลังเดินหน้าอยู่ และจะมีข้อมูลเพิ่มเติมออกมาในอนาคต
ก่อนหน้านี้ Bo Hines ที่ปรึกษาคริปโตของทรัมป์เคยเปิดเผยว่า คำสั่งบริหารของทรัมป์กำหนดให้มีรายงานประกอบเกี่ยวกับการจัดตั้ง ‘คลังสำรองคริปโต’ แต่รัฐบาลอาจเลือกที่จะไม่เปิดเผยต่อสาธารณะในตอนนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลให้หลายฝ่ายตั้งความหวังกับรายงานฉบับนี้ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติมตามที่พวกเขาคาดหวังไว้
แม้จะไร้วี่แววของเรื่องคลังสำรอง Bitcoin แต่รายงานคริปโตของทำเนียบขาวฉบับล่าสุดก็ยังเผยให้เห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนในด้านนโยบายอื่นๆ โดยเฉพาะการผลักดันกฎหมายสำคัญอย่าง GENIUS Act ที่มุ่งควบคุมผู้ให้บริการ Stablecoin และร่างกฎหมาย Clarity Act ซึ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้วและกำลังเข้าสู่วุฒิสภา
รายงานยังเน้นย้ำถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง SEC และ CFTC ซึ่งถูกผลักดันให้ใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อเปิดให้มีการซื้อขายคริปโตในระดับรัฐบาลกลางได้ทันที แม้ CFTC จะยังไม่มีผู้นำอย่างเป็นทางการ แต่ Paul Atkins ประธาน SEC ก็ยืนยันความพร้อมของหน่วยงานในการดำเนินการตามขอบเขตอำนาจ
ในส่วนของภาษี รายงานฉบับนี้ ได้กล่าวถึงข้อเสนอของวุฒิสมาชิก Cynthia Lummis ที่ต้องการลดภาระภาษีให้กับผู้ใช้งานคริปโต ด้วยการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำของธุรกรรมที่ต้องเสียภาษีกำไรจากจำนวนเงิน และปรับปรุงหลักเกณฑ์ภาษีสำหรัผลตอบแทนจากการ Staking ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่ดีต่อชุมชนคริปโต
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้รายงายฉบับล่าสุด จะยังไม่มีคำตอบสำหรับเรื่อง ‘คลังสำรอง Bitcoin’ แต่รายงานฉบับนี้ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงทิศทางนโยบายคริปโตของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ที่มุ่งมั่นและก้าวหน้ากว่าในยุคของรัฐบาลไบเดน
ที่มา:coindesk

