ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา กำลังจะลากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่สมรภูมิสงครามการค้าครั้งใหม่อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากที่ทำเนียบขาวได้ประกาศเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า กำแพงภาษีระลอกใหม่ที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนเมษายนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ การตัดสินใจครั้งนี้ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตลาดการเงินโลก โดยตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงอย่างหนักทั้งในสหรัฐฯ, เอเชีย และยุโรป
ภายใต้ระบอบภาษีใหม่นี้ อัตราภาษีนำเข้าโดยเฉลี่ยของสหรัฐฯ จะพุ่งสูงขึ้นไปอยู่ที่ 18.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1934 โดยสินค้าจากทุกประเทศจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราพื้นฐาน 10% แต่สำหรับประเทศส่วนใหญ่ที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงถึง 15% และสำหรับบางประเทศ อัตราภาษีก็ถูกปรับให้สูงขึ้นไปอีก โดยมีอัตราตั้งแต่ 20% ไปจนถึงสูงสุดที่ 41%
การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นแม้ว่ารัฐบาลจะสามารถบรรลุกรอบข้อตกลงเบื้องต้นกับคู่ค้า 11 รายจาก 15 รายใหญ่ที่สุดได้แล้วก็ตาม แต่สำหรับประเทศที่การเจรจายังไม่คืบหน้า ทรัมป์ก็ได้ใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือสร้างแรงกดดันอย่างหนักหน่วง โดยล่าสุดได้มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าบางรายการจากแคนาดาซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับสองของสหรัฐฯ ไปอยู่ที่ 35% และขึ้นภาษีของสวิตเซอร์แลนด์จากที่เคยขู่ไว้ 31% ในเดือนเมษายน ไปอยู่ที่ 39% โดยเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้ให้เหตุผลว่า “เจ้าหน้าที่ของสวิสไม่เต็มใจที่จะยอมประนีประนอมอย่างจริงจังเกี่ยวกับอุปสรรคทางการค้าของพวกเขา” นอกจากนี้ ทำเนียบขาวระบุว่าข้อตกลงเหล่านี้ยังไม่ถือเป็นข้อตกลงทางการ เนื่องจากต้องใช้เวลานานในการเจรจารายละเอียดเกี่ยวกับอัตราภาษีและประเภทสินค้า
ทำเนียบขาวอ้างว่ารายได้จากภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นจะช่วยปรับปรุงสถานะทางการคลังของประเทศ แต่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากกลับแสดงความกังวลว่านโยบายนี้อาจทำให้เศรษฐกิจหดตัวและทำลายความสัมพันธ์ทางการค้าที่ผู้ผลิตในประเทศต้องพึ่งพามาอย่างยาวนาน “เศรษฐกิจได้เริ่มแสดงสัญญาณของการชะลอตัวแล้ว และมีข้อบ่งชี้ว่าภาษีนำเข้าอาจเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุ” เอกสารระบุ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนชี้ว่า แม้ภาษีอาจมีผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่ก็มีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการบริโภคที่ชะลอลง ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลข GDP ที่แผ่วลงในช่วงครึ่งปีแรก
โดยนาย Ernie Tedeschi ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์ของ Yale Budget Lab กล่าวว่า “หากคุณคิดว่ากำแพงภาษีคือผู้ร้ายหลักที่ทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอลงในครึ่งปีแรก นั่นก็จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในทุกภาคส่วน” การตัดสินใจของทรัมป์ในครั้งนี้จึงเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ถึงแม้ว่าทรัมป์จะอาศัยอำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) เพื่อกำหนดอัตราภาษีเหล่านี้ แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยมีการยื่นฟ้องในศาลการค้า ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาอยู่ และอาจต้องถึงขั้นตัดสินโดยศาลฎีกาในอนาคต
เท่านั้นยังไม่พอ ในกรณีของแคนาดา นอกจากเหตุผลด้านการเจรจาทางการค้าแล้ว แหล่งข่าวในทำเนียบขาวยังเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่พอใจต่อท่าทีของรัฐบาลแคนาดาในการลงทุนด้านอุตสาหกรรมกลาโหม และแผนการที่จะให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ในเร็ว ๆ นี้
ที่มา: washingtonpost

