<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Nicolás Maduro จากปธน.เวเนซุเอลาที่เคยทำเหรียญคริปโตสู่ผู้ก่อการร้ายที่รัฐบาลสหรัฐ ตั้งค่าหัว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

สหรัฐฯ เพิ่มเงินรางวัลนำจับ “Nicolás Maduro” ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา เป็น 50 ล้านดอลลาร์ กล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ของโลก

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ได้ประกาศเพิ่มเงินรางวัลสำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุมตัว Nicolás Maduro ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา จากเดิม 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 50 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,865 ล้านบาท) โดยอ้างว่าเขาเป็น “หนึ่งในผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่สุดในโลก”

Pam Bondi อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ กล่าวหาว่า Maduro มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครือข่ายลักลอบขนยาเสพติดข้ามชาติ พร้อมอ้างว่าหน่วยงาน DEA สามารถยึดโคเคนได้รวมกว่า 30 ตัน ซึ่งเกือบ 7 ตันมีความเชื่อมโยงกับตัว Maduro โดยตรง นอกจากนี้ Bondi ยังกล่าวหาว่า Maduro มีการประสานงานกับแก๊ง Tren de Aragua ของเวเนซุเอลา และพันธมิตรอย่างแก๊งค้ายา Sinaloa ในเม็กซิโก

ด้านรัฐบาลเวเนซุเอลาตอบโต้ทันควัน โดย Yvan Gil รัฐมนตรีต่างประเทศของเวเนซุเอลา จวกการเพิ่มเงินรางวัลครั้งนี้ว่าเป็นการกระทำที่ “น่าสมเพช” และเป็นเพียง “โฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง” พร้อมกล่าวหาว่า Bondi ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจจากกระแสวิจารณ์ในสหรัฐฯ เกี่ยวกับการจัดการคดีของ Jeffrey Epstein อาชญากรทางเพศผู้ล่วงลับ

ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและเวเนซุเอลาเป็นปัญหาที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน โดยตั้งแต่สมัย Trump ดำรงตำแหน่ง สหรัฐฯ ได้ตั้งข้อหา Maduro และเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนด้วยข้อหาก่อการร้ายค้ายาเสพติด คอร์รัปชัน และฟอกเงิน พร้อมกล่าวหาว่าร่วมมือกับกลุ่มกบฏ FARC ของโคลอมเบียเพื่อใช้โคเคนเป็น “อาวุธ” ในการโจมตีสหรัฐฯ

Maduro ซึ่งขึ้นสู่อำนาจต่อจาก Hugo Chavez ในปี 2013 ถูกกล่าวหาว่าปราบปรามฝ่ายต่อต้านด้วยความรุนแรงและปิดปากผู้เห็นต่างในประเทศ เขาสามารถรักษาอำนาจได้แม้เผชิญการประท้วงและเสียงวิจารณ์จากนานาชาติ โดยสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปได้ประกาศคว่ำบาตรรัฐบาลของเขาหลังการเลือกตั้งที่ถูกกล่าวหาว่าไม่โปร่งใสเมื่อต้นปีนี้

แรงกดดันต่อมาดูโรทวีความรุนแรงขึ้น หลังจาก Hugo Carvajal อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองทหารเวเนซุเอลา ถูกจับกุมในกรุงมาดริดและส่งตัวมาขึ้นศาลในสหรัฐฯ ก่อนจะรับสารภาพผิดในข้อหาค้ายาเสพติด ซึ่งสร้างกระแสคาดเดาว่าเขาอาจยอมให้ข้อมูลเอาผิดมาดูโรเพื่อแลกกับโทษที่เบาลง

Maduro มีบทบาทชัดเจนในวงการคริปโต โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศเผชิญมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ และเศรษฐกิจภายในเข้าสู่ภาวะวิกฤต เขาได้ประกาศเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของรัฐชื่อ “Petro” (PTR) ในปี 2018 ซึ่งอ้างว่ามีการหนุนหลังด้วยน้ำมันสำรองของประเทศ เพื่อใช้เป็นช่องทางหลบเลี่ยงข้อจำกัดทางการเงินและเข้าถึงทุนจากต่างประเทศ แม้สหรัฐฯ จะออกคำสั่งห้ามทำธุรกรรมกับ Petro และหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใส แต่มาดูโรพยายามผลักดันให้ Petro ถูกใช้ในธุรกรรมจริง เช่น การจ่ายภาษี ค่าธรรมเนียมราชการ และแม้กระทั่งเงินเดือนของข้าราชการและผู้รับบำนาญ รวมถึงบังคับใช้ในการทำธุรกรรมบางประเภท เช่น การขอพาสปอร์ตที่ต้องชำระด้วย Petro เท่านั้น

นอกจากนั้น Maduro ยังสนับสนุนการขุดคริปโต เนื่องจากเวเนซุเอลามีค่าไฟฟ้าต่ำจากการอุดหนุนของรัฐ โดยตั้งเป้าดึงดูดเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศผ่านการขุด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้กำหนดให้ผู้ขุดต้องขึ้นทะเบียนและขอใบอนุญาต พร้อมทั้งบังคับใช้กฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวด บางครั้งถึงขั้นยึดอุปกรณ์จากนักขุดที่ไม่ได้รับอนุญาต ขณะเดียวกันมีรายงานว่าเวเนซุเอลาใช้คริปโตสกุลอื่น เช่น Bitcoin และ USDT ในการค้าระหว่างประเทศและชำระหนี้ เพื่อลดการพึ่งพาระบบการเงินโลกที่ถูกจำกัด โดยในปี 2020 มีข่าวว่ารัฐบาลใช้ Bitcoin ชำระค่าธรรมเนียมท่าเรือและนำเข้าสินค้า

แม้ Petro จะเป็นโครงการหลักของรัฐ แต่มาดูโรก็ยังควบคุมการใช้คริปโตอื่นอย่างเข้มงวด โดยจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล SUNACRIP เพื่อควบคุมธุรกรรมคริปโตทั้งหมดภายในประเทศ และดำเนินคดีต่อบุคคลหรือธุรกิจที่ละเมิดกฎระเบียบ การเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ามาดูโรมองคริปโตทั้งเป็น “อาวุธ” ทางเศรษฐกิจเพื่อเลี่ยงคว่ำบาตร และเป็นเครื่องมือเสริมอำนาจรัฐในการควบคุมการเงินภายในประเทศอย่างใกล้ชิด

ที่มา : BBC