เมื่อช่วงตี 02:00 ของวันเสาร์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้พบกันที่รัฐอะแลสกาเพื่อเปิดฉากการประชุมสุดยอดซึ่งถูกจับตามองทั่วโลก เนื่องจากอาจตัดสินชะตาว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในสงครามยูเครน ซึ่งดำเนินมากว่า 3 ปีครึ่ง และเป็นความขัดแย้งรุนแรงที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้หรือไม่
ทรัมป์ลงจากเครื่องบิน Air Force One และยืนรอบนลานบิน ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดด้วยเครื่องบินรบ F-22 จอดประกบทั้งสองฝั่งพรมแดง ก่อนยิ้มและจับมือกับปูตินที่เพิ่งเดินทางมาถึง
แม้ผู้นำยูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี จะไม่ได้รับเชิญเข้าร่วม แต่เขาและพันธมิตรยุโรปต่างกังวลว่าทรัมป์อาจยอม “แช่แข็ง” สถานการณ์ แลกกับการยอมรับการควบคุมของรัสเซียเหนือดินแดนราว 1 ใน 5 ของยูเครน แม้จะเป็นเพียงการรับรองแบบไม่เป็นทางการก็ตาม
ทรัมป์จึงรีบย้ำก่อนเดินทางว่า เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเจรจาแทนยูเครน แต่เพื่อดึงทุกฝ่ายมานั่งโต๊ะเดียวกัน พร้อมประกาศชัดว่า “ผมอยากเห็นการหยุดยิงโดยเร็ว… ถ้าไม่เกิดวันนี้ ผมจะไม่พอใจ… ผมต้องการให้การฆ่าฟันหยุดลง”
ฝั่งสหรัฐฯ นำโดยมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ และสตีฟ วิทคอฟฟ์ ทูตพิเศษประจำรัสเซีย โดยจะมีรัฐมนตรีคลัง สก็อต เบสเซนต์, รัฐมนตรีพาณิชย์ ฮาเวิร์ด ลัตนิค, รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเสธ และหัวหน้าคณะทำงาน ซูซี ไวล์ส เข้าร่วมการประชุมขยาย
ฝั่งรัสเซียมียูรี อูชาคอฟ ที่ปรึกษานโยบายต่างประเทศ และเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ เข้าร่วม ตามที่โฆษกเครมลิน ดมิตรี เปสคอฟ ยืนยัน
โดยนักวิเคราะห์มองว่า ทรัมป์ต้องการใช้การหยุดยิงครั้งนี้สร้างภาพลักษณ์ “ผู้สร้างสันติภาพ” เพื่อชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ส่วนปูตินถือว่าการประชุมครั้งนี้เป็นชัยชนะทางภาพลักษณ์ เพราะสะท้อนว่าความพยายามของตะวันตกที่จะคว่ำบาตรรัสเซียเริ่มล้มเหลว และมอสโกกำลังกลับสู่เวทีการทูประดับโลก
คีรีล ดมิทรีเยฟ ทูตพิเศษรัสเซียเผยว่าบรรยากาศก่อนการประชุมเป็นไปอย่าง “แข็งกร้าว” โดยทั้งสองจะหารือในหลายเรื่อง ไม่เพียงแค่เรื่องของยูเครน แต่รวมถึงประเด็นความสัมพันธ์ทวิภาคีทั้งหมด ทรัมป์เองเคยพูดว่าจะยุติสงครามใน 24 ชั่วโมง แต่ยอมรับว่าภารกิจนี้ยากกว่าที่คิด หากการประชุมวันนี้คืบหน้า เขาตั้งใจจัดประชุมสามฝ่ายกับเซเลนสกีต่อทันที ซึ่งฝั่งเครมลินก็ยืนยันว่ามีความเป็นไปได้ หากการเจรจาในอะแลสกาประสบความสำเร็จ โดยคาดว่าการพูดคุยอาจกินเวลาถึง 6-7 ชั่วโมง
ทางด้านเซเลนสกีแสดงท่าทีพร้อมที่จะเปิดทางสู่ “สันติภาพที่ยุติธรรม” ผ่านการเจรจาสามฝ่าย แต่ชี้ว่ารัสเซียยังเดินหน้าทำสงคราม ล่าสุดขีปนาวุธรัสเซียถล่มภูมิภาคดนีโปรเปตรอฟสก์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คนและบาดเจ็บอีก 1 คน เขาโพสต์ใน Telegram ว่า “ถึงเวลายุติสงครามแล้ว และรัสเซียต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็น เราฝากความหวังไว้กับอเมริกา”
ทรัมป์ย้ำว่าตนกับปูตินต่าง “เคารพกันและกัน” พร้อมชื่นชมที่ปูตินพาผู้ประกอบการเดินทางมาด้วย แต่เตือนว่าการทำธุรกิจจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะได้ข้อยุติสงคราม และขู่ใช้มาตรการ “ลงโทษทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง” หากการประชุมล้มเหลว นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสหรัฐฯ เคยหารือภายในเกี่ยวกับการใช้เรือตัดน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซีย เพื่อสนับสนุนโครงการแก๊สและ LNG ในอะแลสกา ซึ่งนี่คือหนึ่งในดีลที่อาจเกิดขึ้น
แหล่งข่าวฝั่งรัสเซียบอกว่ามีสัญญาณว่ามอสโกอาจพร้อมประนีประนอม เนื่องจากปูตินตระหนักถึงต้นทุนและความเปราะบางทางเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้ Reuters รายงานว่าปูตินอาจยอม “ตรึง” สถานการณ์ตามแนวรบ แลกกับคำมั่นไม่ขยายสมาชิก NATO ไปทางตะวันออก และให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบางส่วน
รัสเซียที่กำลังเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจยังเสี่ยงถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรเพิ่ม และทรัมป์ถึงขั้นขู่เก็บภาษีน้ำมันจากผู้ซื้อรัสเซียอย่างจีนและอินเดีย ขณะเดียวกัน ปูตินก็ยื่นข้อเสนอเรื่องข้อตกลงควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ฉบับใหม่ เพื่อแทนที่สนธิสัญญาฉบับสุดท้ายที่เหลืออยู่ซึ่งจะหมดอายุในเดือนกุมภาพันธ์
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดเครมลินเผยว่า ทั้งสองฝ่ายอาจสามารถหาจุดร่วมกันได้ เพราะ “ไม่สามารถปฏิเสธทรัมป์ได้ และแรงกดดันจากคว่ำบาตรทำให้เรามีตัวเลือกจำกัด” ปูตินระบุว่าเปิดรับการหยุดยิงเต็มรูปแบบ แต่ต้องตกลงกลไกการตรวจสอบก่อน โดยอาจเริ่มจากหยุดยิงในปฏิบัติการทางอากาศ ขณะที่เซเลนสกีปฏิเสธการยกดินแดนให้รัสเซียอย่างเป็นทางการ และต้องการหลักประกันด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ
ด้านประชาชนในกรุงเคียฟหลายคนยังมองโลกในแง่ร้าย เช่น เตเตียนา ฮาร์คาเวนโก วัย 65 ปี ที่บอกกับ Reuters ว่า “ไม่มีอะไรดีจะเกิดขึ้น เพราะสงครามก็คือสงคราม มันจะไม่จบ และเราไม่ยกดินแดนให้ใคร”
ที่มา: reuters

