เฟร็ด ครูเกอร์ อดีตนักวิเคราะห์สายควอนต์จากวอลล์สตรีท ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X คาดการณ์ว่า สหรัฐฯ อาจเริ่มนำรายได้จากการเก็บภาษีศุลกากรมาซื้อบิทคอยน์โดยตรง
ก่อนหน้านี้ โฮเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ เคยระบุว่า สหรัฐฯ สามารถสร้างรายได้จากภาษีศุลกากรได้สูงถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
ซึ่งหากนำตัวเลขนี้มาคำนวณตามราคาปัจจุบัน สหรัฐฯ จะสามารถซื้อบิทคอยน์ ได้มากถึง 400,000 BTC ภายในเดือนแรก
ขณะที่ บิทคอยน์ที่ถูกขุดใหม่มีเพียงประมาณ 19,000 BTC ต่อวันเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่เฟร็ด ครูเกอร์ เชื่อว่า อาจทำให้กฎ Power Law ถูกทำลายลง เพราะเป็นสภาวะตลาดที่ไม่ปกติ ซึ่งแรงซื้อจำนวนมหาศาลของรัฐบาลสหรัฐฯ จะทำให้สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในตลาดถูกกลืนหายไปโดยสิ้นเชิง
แต่คำถามที่ยังเป็นที่สงสัยกันคือ รัฐบาลสหรัฐฯ จะซื้อ Bitcoin จริงหรือไม่ ? แน่นอนว่าแนวคิดที่ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อเข้าซื้อ Bitcoin อาจฟังดูเป็นเรื่อง “เพ้อฝัน” แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้ว โดยได้จัดตั้งคลังสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์ (Strategic Bitcoin Reserve) ขึ้น ซึ่งเป็นการรวบรวมเหรียญที่ถูกยึดจากคดีอาชญากรรมต่างๆ
ทั้งนี้ สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เคยแสดงความเห็นที่ “กลับไปกลับมา” เกี่ยวกับการซื้อ Bitcoin ในอนาคต
โดยตอนแรก สก็อต เบสเซนต์ แสดงท่าทีว่า อาจเป็นไปได้ แต่ภายหลังกลับออกมาปฏิเสธว่า รัฐบาลจะไม่ซื้อเพิ่ม ก่อนที่จะกลับลำอีกครั้งผ่านโพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X โดยระบุว่า กระทรวงการคลังยังคงเปิดกว้างต่อ “แนวทางแบบไม่กระทบงบประมาณของสหรัฐฯ” ในการเข้าซื้อ Bitcoin
อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลจาก Polymarket ระบุว่า ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะอนุมัติการจัดตั้ง Strategic Bitcoin Reserve ภายในปีนี้ อยู่ที่เพียง 14% ซึ่งลดลงอย่างมากจากระดับสูงสุดที่ 75% ในเดือนมีนาคม
ที่มา : u.today