<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคา Bitcoin อาจพุ่งแรงในสัปดาห์นี้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

วันนี้ ( 15 กันยายน) ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ราคาของ Bitcoin หลังจากที่ผ่านช่วงที่ผันผวน ทั้งราคาที่พุ่งขึ้นและย่อลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับข่าวสารที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด ตอนนี้ Bitcoin กำลังค่อย ๆ สะสมโมเมนตัมอย่างเงียบ ๆ เพื่อเตรียมพุ่งขึ้นครั้งใหญ่อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามนักลงทุนคริปโตที่เฝ้าดูกราฟ และผู้ที่ติดตามข่าวสารในช่องทางต่าง ๆ ต่างก็เริ่มสัมผัสได้ว่า กำลังจะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น ในขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ยังคงมีมุมมองเชิงบวกกับราคาของ Bitcoin และนี่คือ 5 เหตุผลสำคัญ ที่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงขาขึ้นรอบใหม่ของ Bitcoin ในสัปดาห์นี้

1. ราคา Bitcoin มีลุ้นพุ่งแรง เพราะเฟดอาจลดดอกเบี้ย

ประเด็นสำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้คือ ทิศทางนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หลังจากที่ตัวเลข PPI (ดัชนีราคาผู้ผลิต) ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และ CPI (ดัชนีราคาผู้บริโภค) ออกมาตรงตามคาด ทำให้นักลงทุนเริ่มคาดการณ์ว่า Fed อาจตัดสินใจ “ลดอัตราดอกเบี้ย” ในการประชุมที่กำลังจะมาถึงในวันพฤหัสบดีนี้

หากการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นจริง จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า Fed พร้อมที่จะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การควบคุมภาวะเงินเฟ้อเท่านั้น ที่สำคัญคือ การลดดอกเบี้ยจะทำให้สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง Bitcoin น่าสนใจขึ้นทันที เนื่องจากผลตอบแทนจากการถือพันธบัตรหรือเงินสดจะลดลง

2. เงินสถาบันไหลเข้ากองทุน ETF ไม่หยุด

เงินทุนจากฝั่งสถาบันยังคงหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทุน Spot Bitcoin ETF ของสหรัฐฯ ที่ยังคงทำสถิติซื้อสุทธิรายวันอย่างต่อเนื่อง แม้ในวันที่ตลาดผันผวนก็ยังไม่ปรากฏการขายออกอย่างรุนแรง

ปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่กองทุนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังมี กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (sovereign funds) และบริษัทขนาดใหญ่ ที่เข้ามาลงทุนใน Bitcoin ด้วย ซึ่งการไหลเข้ามาของเงินทุนเหล่านี้ ทำให้ราคา Bitcoin มีเสถียรภาพมากขึ้น และเป็นการตอกย้ำว่า Bitcoin กำลังถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์” ไม่ใช่แค่การเก็งกำไรในระยะสั้นอีกต่อไป

3. ซัพพลายหายากขึ้น ยอด Bitcoin ที่เหลืออยู่ใน OTC และ Exchange Reserves ลดฮวบ

อีกหนึ่งสัญญาณที่สำคัญคือ จำนวน Bitcoin ที่เหลืออยู่ในตลาดซื้อขายแบบ OTC (Over-the-Counter) และในกระดานแลกเปลี่ยนต่างๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายความว่า ปริมาณเหรียญที่พร้อมขายในตลาดมีน้อยลงเรื่อย ๆ

หากมีความต้องการใหม่จากผู้ซื้อไหลเข้ามาอย่างกะทันหัน จะทำให้เกิดการแย่งชิงกันซื้อ ส่งผลให้ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงตามหลักเศรษฐศาสตร์ของอุปสงค์และอุปทานแบบคลาสสิก และบางครั้งก็สามารถจุดชนวนให้เกิดพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ของ Bitcoin ได้เลย

4. เจ้ามือสะสม Bitcoin อย่างหนัก

ข้อมูลจาก Glassnode ระบุว่า กระเป๋าเงินดิจิทัลที่ถือ Bitcoin ระหว่าง 100-1,000 BTC หรือที่เรียกว่า ฉลาม (Shark) กำลังสะสม Bitcoin เพิ่มขึ้นในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา แม้จะมีนักลงทุนรายย่อยบางส่วนที่ขายเหรียญออกไปในช่วงที่ราคาปรับฐานลงเล็กน้อย

การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่ส่วนใหญ่มักจะเชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงลึกของตลาด เช่น การซื้อขายนอกกระดาน (OTC deal flows) และการวิเคราะห์ภายใน ซึ่งบ่งชี้ว่า แรงซื้อในครั้งนี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ราคา Bitcoin ปรับตัวสูงขึ้นอย่างแท้จริง

5. สายถือยาวยังคงล็อกเหรียญ Bitcoin ไว้แน่น

ข้อมูลบนบล็อกเชนล่าสุดชี้ให้เห็นว่า กว่า 70% ของ Bitcoin ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินที่ไม่มีการเคลื่อนไหวนานเกิน 1 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นผู้ถือยาว (Diamond Hands) ที่ไม่สนใจความผันผวนของราคาในระยะสั้นและไม่มีแนวโน้มที่จะขายออกในตอนนี้

การที่เหรียญถูกล็อกไว้เช่นนี้ ทำให้ปริมาณอุปทานในตลาดลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันให้กับนักลงทุนที่เปิด Short Position และอาจเป็นตัวเร่งให้ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นในไม่ช้า

ที่มา : thecoinrepublic