กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (DOL) ได้เปิดเผยแผนฉุกเฉินรับมือกรณีที่หน่วยงานรัฐบาลต้องปิดทำการชั่วคราว หรือ “ชัตดาวน์” ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะส่งผลให้เกิดสภาวะ “ข้อมูลข่าวสารดับมืด” (News and Data Blackout) โดยจะไม่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญใดๆ ออกมา สร้างความปั่นป่วนให้กับนักลงทุนและธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่กำลังจับตาทิศทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
จะเกิดอะไรขึ้น? แผนฉุกเฉินระงับข้อมูลทั้งหมด
ในแผนฉุกเฉินความยาว 73 หน้าที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันศุกร์ กระทรวงแรงงานระบุชัดเจนว่า สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัด จะต้อง “ระงับการดำเนินงานทั้งหมด” หากเกิดภาวะชัตดาวน์ขึ้น
“ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่มีกำหนดจะประกาศในช่วงที่เกิดการชัตดาวน์ จะไม่ถูกประกาศออกมา” เอกสารระบุ
นอกจากนี้ แผนยังระบุอีกว่า “กิจกรรมการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของ BLS จะยุติลง” ซึ่งหมายความว่าผลกระทบอาจลุกลามไปไกลกว่าแค่การเลื่อนประกาศ แต่อาจทำให้ข้อมูลในรายงานฉบับต่อๆ ไปล่าช้าหรือไม่สมบูรณ์ได้เช่นกัน
ผลกระทบต่อนักลงทุนแล Fed รายงานสำคัญที่จะ ‘หายไป’
การระงับประกาศข้อมูลครั้งนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง โดยมีรายงานสำคัญหลายฉบับที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง
- ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls)
- กำหนดการ วันศุกร์นี้ (3 ต.ค.)
- ความสำคัญ เป็นตัวชี้วัดสุขภาพของตลาดแรงงานที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญสูงสุด และจะถูกประกาศในช่วงที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณอ่อนแอลงอย่างชัดเจน
- ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI):
- กำหนดการ 15 ตุลาคม
- ความสำคัญ เป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่สำคัญที่สุด และเป็น ข้อมูลเงินเฟ้อชุดสุดท้าย ที่คณะกรรมการเฟดจะได้เห็นก่อนการประชุมเพื่อตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 28-29 ตุลาคมนี้
- ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claims):
- กำหนดการ ทุกวันพฤหัสบดี
- ความสำคัญ เป็นข้อมูลรายสัปดาห์ที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะหายไปเช่นกัน
การขาดหายไปของข้อมูลสำคัญเหล่านี้ เปรียบเสมือนการทำให้เฟดและนักลงทุนต้อง “ขับเครื่องบินโดยไม่เห็นหน้าปัด” ซึ่งจะเพิ่มความไม่แน่นอนและความผันผวนให้กับตลาดการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เกิดอะไรขึ้น?
ปีงบประมาณของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนของทุกปี ก่อนถึงวันนั้น สภาคองเกรสต้องผ่านร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่าย 12 ฉบับ เพื่อจัดสรรเงินให้แต่ละหน่วยงานของรัฐบาลกลาง แต่จนถึงตอนนี้ ทั้งสองพรรคยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในหลายประเด็นสำคัญได้
หากถึง เส้นตายเที่ยงคืนวันที่ 30 กันยายน (ตรงกับเช้าวันที่ 1 ตุลาคมตามเวลาประเทศไทย) แล้วยังไม่สามารถผ่านงบประมาณใหม่ หรืออย่างน้อย “ร่างขยายเวลาใช้งบเดิม” ที่เรียกว่า Continuing Resolution (CR) รัฐบาลกลางก็จะเข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” ทันที
เมื่อเกิดชัตดาวน์ หน่วยงานที่ถูกจัดว่า “ไม่จำเป็นเร่งด่วน” (non-essential) จะต้องหยุดทำงานชั่วคราว และเจ้าหน้าที่บางส่วนจะถูกสั่งพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่วนหน่วยงานด้านความมั่นคง สาธารณสุข และบริการจำเป็นยังคงดำเนินต่อไปได้
ทำไมถึงตกลงกันไม่ได้?
ความขัดแย้งรอบนี้เกิดจากจุดยืนที่แตกต่างกันของทั้งสองพรรคในการจัดสรรงบประมาณ
- พรรคเดโมแครต ต้องการคงงบสำหรับโครงการด้านสวัสดิการและประกันสุขภาพ เช่น Medicaid และ Affordable Care Act (Obamacare) รวมถึงผลักดันงบด้านสิ่งแวดล้อมและการศึกษา
- พรรคริพับลิกัน ที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ต้องการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง ลดงบในบางหน่วยงานที่มองว่า “ไม่จำเป็น” พร้อมเสนอเพิ่มงบด้านความมั่นคงและการควบคุมชายแดน
ความเห็นที่สวนทางกันโดยสิ้นเชิงนี้ ทำให้การเจรจาเป็นไปอย่างยากลำบาก ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อฐานเสียงทางการเมืองของตน
หากชัตดาวน์เกิดขึ้นจริงจะเป็นอย่างไร?
การชัตดาวน์อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ตั้งแต่การปิดพิพิธภัณฑ์และอุทยานแห่งชาติ การล่าช้าในการเบิกเงินสนับสนุนบางโครงการ ไปจนถึงการหยุดจ่ายค่าจ้างเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายแสนคน
อย่างไรก็ตาม งบประมาณบางประเภท เช่น สวัสดิการ Social Security หรือโครงการประกันสุขภาพผู้สูงอายุ Medicare จะยังคงดำเนินต่อได้ เนื่องจากจัดอยู่ในหมวด “ค่าใช้จ่ายบังคับ” (mandatory spending) ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการผ่านงบประมาณประจำปี
ทางออกคืออะไร?
ทางออกระยะสั้นที่ทั้งสองฝ่ายอาจใช้คือ การผ่านร่าง Continuing Resolution (CR) เพื่อยืดเวลาการใช้งบประมาณเดิมไปอีกไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐชั่วคราว และเปิดโอกาสให้การเจรจาเรื่องงบใหม่ยังคงดำเนินต่อไป
แต่หากยังไม่มีความคืบหน้า ความเสี่ยงที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะ “ชัตดาวน์” ก็จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นแรงกดดันทางการเมืองครั้งใหญ่ต่อทั้งสองพรรคในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่จะมาถึง
ที่มา: CNBC

