แรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในสหราชอาณาจักรเกิดขึ้นเมื่อคำร้อง “Do not introduce Digital ID cards” บนเว็บไซต์ของรัฐบาลอังกฤษมียอดผู้ลงชื่อทะลุ 2.7 ล้านคน ภายในเวลาไม่นาน หรือราว 4% ของประชากรทั้งประเทศ เกินกว่าเกณฑ์ 100,000 ชื่อที่บังคับให้รัฐสภาต้องนำเรื่องเข้าสู่การถกเถียง โดยกระแสนี้เกิดขึ้นหลังรัฐบาลประกาศแผนเปิดตัว “Brit Card”— บัตรประชาชนดิจิทัลที่เก็บในสมาร์ตโฟน ใช้ยืนยันสิทธิการทำงานและเข้าถึงบริการรัฐ โดยหนึ่งในเหตุผลหลักที่รัฐหยิบยกคือช่วยลดแรงงานผิดกฎหมายและปรับปรุงระบบราชการให้ทันสมัยขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาจากประชาชนกลับตรงกันข้าม ผู้ลงชื่อจำนวนมากแสดงความกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว (Privacy)และอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล หลายคนเกรงว่าการรวมข้อมูลเข้าระบบกลางของรัฐอาจเปิดช่องให้เกิด การเฝ้าระวัง (Surveillance) หรือการรั่วไหลของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลสุขภาพ การเงิน และการเคลื่อนไหวส่วนบุคคล
ในโลกคริปโตและเทคโนโลยี Web3 ประเด็นนี้ถูกหยิบยกมาถกอย่างเข้มข้น เพราะปัญหาความไว้ใจใน “ศูนย์กลางข้อมูล” เป็นสิ่งที่บล็อกเชนพยายามแก้ไขอยู่แล้ว แนวคิดอย่าง Decentralized Identity (DID) ทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมข้อมูลระบุตัวตนของตนเองได้โดยไม่ต้องเปิดเผยทุกอย่างต่อรัฐบาลหรือองค์กรใหญ่ — เผยเฉพาะส่วนที่จำเป็นต่อการทำธุรกรรมหรือยืนยันสิทธิ์ เช่น พิสูจน์ว่า “อายุเกิน 18 ปี” โดยไม่ต้องส่งข้อมูลบัตรประชาชนทั้งหมด
ผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนมองว่า เหตุการณ์นี้อาจเร่งให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการระบุตัวตนบนเครือข่ายกระจายศูนย์มากขึ้น และอาจเปลี่ยนแนวทางที่รัฐบาลและบริษัทเอกชนออกแบบโครงสร้างการยืนยันตัวตนในอนาคต เพราะประชาชนเริ่มตระหนักว่า “ข้อมูลของฉันต้องเป็นของฉันจริงๆ”
นอกจากนี้ โลกคริปโตยังมองว่านี่คือสัญญาณที่ดีต่อภาพรวม การยอมรับบล็อกเชนในชีวิตจริง (mass adoption) เพราะเป็นจุดที่เทคโนโลยีไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการเงินและการลงทุน แต่เริ่มถูกมองว่าอาจเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องสิทธิและความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งเป็นโจทย์ที่ผู้คนกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้รัฐบาลอังกฤษยืนยันว่าการทำ Digital ID มีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนของระบบและป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร แต่เสียงต้านกว่า 2.7 ล้านรายชี้ให้เห็นว่าประชาชนยังไม่พร้อมมอบข้อมูลทุกอย่างให้กับส่วนกลาง และอยากเห็นโซลูชันที่เปิดให้ “ผู้ใช้ควบคุมตัวเองได้” มากกว่า
ที่มา: @CCNDotComNews

