ชีวิตของนักเทรดไม่ได้สวยหรูเหมือนภาพที่เราเห็นในโซเชียลเสมอไป เรื่องราวของ คุณปลื้ม นักธุรกิจจากเชียงใหม่ที่หันมาเทรดฟูลไทม์ เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า การไล่ล่าความฝันทางการเงิน อาจต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่เกินจะพรรณนา
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ช่อง BillionaireBoy ในรายการ Talk Talk Trader ได้เผยแพร่เรื่องราวที่สะเทือนใจของคุณปลื้ม ผ่านคลิปวิดีโอที่ชื่อ “เทรด 6 ปี หมดตัว ไม่มีเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ชีวิตเหมือนตกนรกเพราะการเทรด” นี่คือเรื่องจริงของชายคนหนึ่งที่เริ่มจากการเป็นลูกจ้างธรรมดา พยายามสร้างธุรกิจเพื่อตามหาอิสรภาพทางการเงิน แต่เมื่อธุรกิจไม่ตอบโจทย์ เขาจึงหันเหเข้าสู่โลกการเทรด
คุณปลื้มเล่าว่า เขาทำกิจการควบคู่กับการเทรดมานานกว่า 6 ปี โดยจริงจังได้ประมาณ 4 ปีเต็ม แต่เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตรงกันข้าม เขาเคยหมดตัว ต้องเกือบขายบ้าน ขายรถ และแม้กระทั่งเคยคิดสั้นอยากจบชีวิตเพราะการเทรด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ และยังคงเชื่อว่า การเทรดจะเป็นทางที่ทำให้เขามีอิสรภาพได้จริง
เส้นทางของเขา เริ่มจากงานลูกจ้างเล็ก ๆ พนักงานโรงหนัง จนมาทำงานเป็นลูกมือช่าง หารายได้เสริมควบคู่กับการเรียนด้านบริหารการตลาด และสุดท้ายก็ตั้งบริษัทของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันเปิดมาแล้วกว่า 8 ปี แต่เมื่อรายได้จากธุรกิจไม่พอเลี้ยงความฝัน เขาจึงเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น และขยับมาสู่การเทรดทองคำ กับเทรด Forex เพราะเห็นคนรอบข้างสามารถทำกำไรแบบรายวันได้จริง
“เห็นรุ่นพี่ที่เรียนมหาลัยด้วยกัน ได้โพสต์สตอรี่ โพสต์โซเชียลเกี่ยวกับทองคำ ที่เทรดตอนบ่าย แล้วถอนเงินตอนเย็น ซึ่งตรงกับโจทย์ที่วางไว้พอดี ทำให้สนใจในเรื่องของตลาด forex หรือทองคำขึ้นมา”
“ช่วง 2 ปีแรกในการเทรด เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งแท่งเทียน ทั้งตลาด ทองคำเอาไปเทียบกับอะไร รู้แค่ว่า เราอยากถอนเงินต่อวัน กับมีกลุ่มที่คอยให้ออเดอร์เรา เราไม่จำเป็นต้องมาวิเคราะห์ เราแค่เข้าตาม”

“โดยมี Signal ให้ แล้วแบบโหยการันตีเลยว่า ชิกแนลนี้ TP Village 70-80% อะไรอย่างเงี้ย คือเราตามแบบนี้สองปีแล้ว ผลสุดท้ายคือ ยับ”

ซึ่งจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณปลื้ม เปลี่ยนมาเทรดเองจริงจัง คือ ในช่วงโควิดจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจทุกคนจะดรอปลงเยอะมาก ซึ่งช่วงนั้นบริษัทคุณปลื้ม ก็ดรอปลงในเรื่องของรายได้ ในเรื่องของเซอร์วิส ทำให้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายของบริษัท คุณปลื้มจึงยอมลดค่าใช้จ่าย พร้อมกับลดเงินเดือนตัวเอง เพื่อเอาเงินไปหมุนในบริษัทให้เพียงพอ
ประกอบกับการเทรด ที่คุณปลื้มมองว่า เราอยู่ในตลาดมาก็ 2-3 ปีแล้ว ทำไมเรายังเทรดไม่ได้กำไรที่เป็นสเตเบิลสักที ทำไมเราถึงยังไม่ตอบโจทย์ที่เราตั้งไว้ครั้งแรกได้ แล้วพอมาดูผลรวมของพอร์ตตั้งแต่ที่เทรดมา กลายเป็นว่า เงินของเรามันหายไปกับตัวนี้เยอะเหมือนกัน ตอนนั้นมาคำนวณดู เสียไปก็ประมาณเจ็ดหลัก เสียทั้งหมดนะ เสียจริงๆ ยังไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ นั่นแหละคือจุดเปลี่ยนจริง ๆ เลย


คุณปลื้มเปิดเผย ช่วงนั้นต้องยืมเงินแม่แฟน 3 แสนบาทมาหมุนเงินในบริษัท
“ยังแคปรูปบัญชีของตัวเองไว้อยู่นะว่า แม่งมีเงินศูนย์บาทในบัญชีธนาคาร บริษัทงานก็ค้างอยู่ พี่เลยตัดสินใจคุยกับแฟน แล้วเขาก็กล้าจะไปคุยกับแม่เขา ขอยืมเงินแม่เขา เป็นจำนวนเงินทั้งหมด 3 แสนบาท แล้วเอาเงินก้อนนี้ไปหมุนอย่างเดียวในบริษัท ไม่เทรด พอพี่ได้เงินคืนมา ในระยะเวลาหนึ่งเดือน พี่เอาเงินคืนแม่ทั้งหมด แล้วพี่จะมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 1-2 แสน แบ่งเงินเอาไว้หมุน”
“โดยแบ่งเงินเอามาเทรดได้แค่ประมาณ 8000 บาท ถ้าตีเป็น USD ประมาณ 200 เหรียญ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการจริงจังในเรื่องของการเทรด และการหาตัวตน การหาเทคนิคของตัวเอง”
คุณปลื้มตั้งเป้าหมายว่า ต้องทำยังไงก็ได้ให้ทุน 200 เหรียญ ยังอยู่ และจะต้องได้กำไร

ซึ่งจากความพังพินาศนั่นเอง ทำให้คุณปลื้มตัดสินใจกลับมานับหนึ่งใหม่ หันมาเรียนรู้ Price Action, Market Structure และสร้างเทคนิคการเทรดของตัวเองอย่างจริงจัง ใช้เวลาศึกษาอีก 2 ปีเต็ม จนเริ่มทำกำไรได้
“ไปศึกษาใหม่เลยว่า Price Action จริงๆ แล้วคืออะไร มีแบบไหนบ้าง แพทเทิร์นจริง ๆ แล้วคืออะไร แม้แต่ Market structure อะไร ศึกษาทั้งหมด ใช้เวลาหาเทคนิคตัวนี้ประมาณ 2 ปี”

แม้จะยังไม่มั่นคงพอที่จะถอนเงินได้ทุกวัน แต่ก็สามารถถอนกำไรทุกสัปดาห์ และพิสูจน์ให้เห็นว่า จากทุนเพียง 100 ดอลลาร์ ก็สามารถปั้นจนกลายเป็น 8,000 ดอลลาร์ได้จริง
ซึ่งคุณปลื้มยอมรับว่า ผลจากการเทรดตามคนอื่น ทำให้เราสูญเงินไปเป็นล้าน

นอกจากนี้ คุณปลื้มยังเปิดเผยเหตุการณ์ที่เคยทำให้คุณปลื้มไม่เหลือความมั่นใจในการเทรด จนหมดตัวได้เลย
“เป็นเหตุการณ์ช่วงโควิด บริษัทแย่ลง ทำให้งานน้อย ไม่มีเงินหมุน โดยช่วงนั้นคุณปลื้มยังเทรดได้ไม่มั่นคง พร้อมรายได้บริษัทแย่ลง เลยตัดสินใจไปเอาเงินเก็บฉุกเฉินของตัวเองที่สำรองไว้ มาเทรด เพื่อให้มีเงินหมุนในบริษัท โดยไม่ได้คิดถึงความเสี่ยงที่มันจะเกิดขึ้น ถือเป็นเงินฉุกเฉินที่ใช้สำหรับหมุนบริษัท แล้วก็จ่ายค่าบ้าน ค่ารถ”
“สุดท้าย ก็สูญเสียหมดเลย ทุกอย่าง ตอนนั้นเงินเก็บจากที่เก็บไว้ประมาณหกแสน เหลือหมื่น สองหมื่น นั่นแหละ แล้วบริษัทก็ไม่ได้ดีขึ้นด้วย เทรดก็แย่ลง”

“จากที่ทุกเย็นพี่สามารถไปกินข้าวนอกบ้านได้ กลายเป็นว่า พี่ต้องกินมาม่าที่บ้าน บางวันก็กินมาม่าทั้งวันเลย ตอนนั้นคิดได้แค่อย่างเดียว อยากให้เรื่องนี้มันจบไว ๆ แล้วมันจบแบบไหนได้บ้าง”
สำหรับใครที่อยากฟังบทเรียนชีวิตของคุณ แบบเต็ม ๆ สามารถเข้าไปดูต่อได้ที่ช่อง Billionaire Boy ต่อได้ที่คลิปด้านล่าง

