<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

คู่มืออ่านกราฟคริปโต 2025 สำหรับมือใหม่ เข้าใจง่าย เทรดไม่เป็นก็เริ่มได้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในโลกของการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี ข้อมูลข่าวสารถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางราคาและแนวโน้มของตลาด แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอีกอย่างคือ ข้อมูลทางเทคนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กราฟ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือหลักที่นักเทรดระยะสั้นใช้ในการตัดสินใจ

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น การเห็นแท่งกราฟสีเขียวและแดงขึ้นลงอาจทำให้รู้สึกสับสนและไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ หากมองในแง่ของการเทรด การอ่านกราฟอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ยากอย่างที่คิด

ในบทความนี้ เราจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “คู่มืออ่านกราฟคริปโตฉบับปี 2025” ที่จะช่วยให้ข้อมูลที่ดูน่าปวดหัวกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

*บทความนี้มีการยกตัวอย่างกราฟจาก Tradingview*

พื้นฐานกราฟ

เริ่มต้นกันที่เบสิคพื้นฐาน จากรูปด้านบนจะเห็นได้ว่ามีองค์ประกอบสำคัญ ๆ อยู่ 4 อย่างได้แก่

X-axis : กรอบระยะเวลา ในเส้นแนวนอนด้านล่างคือช่วงระยะเวลาของกราฟที่เราจะดู ซึ่งสามารถดูได้ตั้งแต่ 1 วินาที (สำหรับเทรดสั้น) ไปจนถึงกราฟหลักปี (สำหรับดูภาพใหญ่) 

Y-axis : ระดับราคา เส้นแนวตั้งจะใช้เป็นตัววัดระดับราคาว่าในขณะนี้สินทรัพย์ที่เราติดตามอยู่มีราคาอยู่ตรงไหน ซึ่งยิ่งซูมลึกหรือใช้กรอบระยะเวลาแคบก็จะเห็นราคาเคลื่อนไหวแคบ แต่ถ้าซูมออกก็จะเห็นการเคลื่อนไหวได้กว้างขึ้น

Volume bars : จะอยู่ในส่วนล่างของกราฟ ไว้ใช้ดูวอลุ่มปริมาณการซื้อขาย เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าการเคลื่อนไหวของกราฟเกิดขึ้นจากแรงซื้อ-ขาย มหาศาลจริงหรือไม่

Chart : ในส่วนนี้ไม่มีอะไรอธิบายมาก กราฟคือเส้นที่ใช้บันทึกความเคลื่อนไหวของราคาซึ่งกราฟยอดนิยมจะประกอบไปด้วย กราฟแท่งเทียน , กราฟแท่ง และ กราฟแบบเส้น 

5 แพทเทิร์นกราฟยอดนิยม

เมื่อเราทราบถึงพื้นฐานของกราฟแล้ว ขั้นตอนถัดมาคือ การมอง “รูปแบบ” ของกราฟซึ่งแพทเทิร์นเหล่านี้จะช่วยให้นักเทรดสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของราคาที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ และบทความนี้จะยกตัวอย่าง 5 รูปแบบยอดนิยม

1.รูปแบบ เฮด-แอนด์-โชว์เดอร์ หัวและไหล่

สำหรับกราฟรูปแบบดังกล่าวจะเป็นรูปแบบที่สื่อถึงการปรับฐานราคาใหญ่ โดยประกอบไปด้วย ยอด 3 จุดที่ตรงกลางจะเป็นจุดสูงสุด (หัว) ส่วนอีกสองจุดขนาบข้างจะเป็น (หัวไหล่) ก่อนพุ่งลงต่ำ โดยที่ทั้งสามจะมีจุดร่วมกันตรงเส้น “เนคไลน์” หรือแนวรับสำคัญ และถ้ากราฟรูปแบบนี้เกิดขึ้นแบบกลับหัวจะสื่อถึงการพลิกกลับเป็นขาขึ้น

วิธีอ่าน : เมื่อคุณอ่านกราฟและเห็น วอลุ่มการซื้อขาย ที่ลดลงในช่วง ไหล่ขวา นั่นหมายความว่า โมเมนตัมขาลง กำลังเกิดขึ้น ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้จะได้รับการยืนยันเมื่อราคาลดลงต่ำกว่า เส้นเนคไลน์ หากราคาสามารถกลับมายืนเหนือเส้นเนคไลน์ได้ จะเป็นการยืนยันว่า แนวโน้มขาขึ้น กำลังเกิดขึ้น

สำหรับการ คาดการณ์ราคา ให้ทำการวัดระยะทางจาก ส่วนหัว (Head) ไปยัง เส้นเนคไลน์ หลังจากนั้น ให้คำนวณระยะทางนี้และคาดการณ์จากจุดที่ราคา ทะลุแนวต้าน หรือ แนวรับ เพื่อประเมิน เป้าหมายการเคลื่อนไหว ของราคาในอนาคต

สุดท้าย เมื่อทำการเทรด ควรตั้ง จุดตัดขาดทุน (Stop-loss) ให้เหมาะสม หากเป็น รูปแบบขาลง ให้ตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ เหนือไหล่ขวา หรือหากเป็น รูปแบบขาขึ้น ควรวางจุดตัดขาดทุน ต่ำกว่าไหล่ขวา เพื่อควบคุมความเสี่ยงในการเทรด

2. รูปแบบ ดับเบิ้ลท๊อป-ดับเบิ้ลบอทท่อม M/W

ถัดมาคือแพทเทิร์นขวัญใจนักลงทุนอย่าง Double tops (ลง) และ Double bottoms (ขึ้น) โดยตัวของ Double tops จะเป็นกราฟรูปตัวเอ็ม M ซึ่งปรากฏใกล้แนวต้าน แสดงให้เห็นถึงการกลับตัวเป็นขาลง ส่วน Double bottoms จะเป็นตัว W เกิดขึ้นใกล้แนวรับ ส่งสัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น

วิธีอ่าน : แพทเทิร์นนี้คือ การแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการพยายามฝ่าแนวต้านด้านบนหรือแนวรับด้านล่างสองครั้ง ส่วนการคาดการณ์ให้วัดระยะห่างจาก Neckline ไปยังจุดสูงสุด หรือจุดต่ำสุด จากนั้นกะระยะจากจุดที่ทะลุแนวต้าน/แนวรับ เพื่อประเมินการเคลื่อนไหวของราคาเป้าหมาย ส่วนจุดตัดขาดทุนให้วางไว้เหนือจุดสูงสุดของรูปแบบ Double Top หรือวางไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของรูปแบบ Double Bottom

3.รูปแบบสามเหลี่ยม

ต่อกันด้วยรูปแบบสามเหลี่ยมที่จะก่อตัวขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของราคาสร้าง เส้นแนวโน้มที่บรรจบกัน (converging trendlines) ทำให้เกิดรูปทรงสามเหลี่ยม และมักปรากฏในช่วงที่ตลาดยังคงลังเลไม่สามารถเลือกทิศทางได้

รูปแบบสามเหลี่ยมมีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ สามเหลี่ยมยกตัวขึ้น (สัญญาณขาขึ้น), สามเหลี่ยมกดตัวลง (สัญญาณขาลง), และ สามเหลี่ยมสมมาตร (สัญญาณเป็นกลาง)

วิธีอ่าน : เมื่อราคาทะลุ แนวต้าน หรือ แนวรับ มักจะเคลื่อนไหวตามทิศทางที่มีอยู่ แต่ในบางครั้งก็อาจจะกลับทิศทางได้ ดังนั้น นักเทรดควรประเมินราคาเป้าหมายโดยการวัดความกว้างฐานของสามเหลี่ยมและคาดการณ์ระยะทางจากจุดที่ทะลุแนวต้านหรือแนวรับ

ในกรณีของ สามเหลี่ยมยกตัวขึ้น เมื่อราคาทะลุขึ้นมักจะเป็นสัญญาณ ขาขึ้น ในขณะที่การทะลุลงใน สามเหลี่ยมกดตัวลง จะเป็นสัญญาณ ขาลง และเพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณหลอกควรใช้ ตัวกรอง 1%-2% ก่อนที่จะยืนยันการเคลื่อนไหว หากเป็นกรณีที่ราคาทะลุขึ้นในสามเหลี่ยมขาขึ้นหรือทะลุลงในสามเหลี่ยมขาลง

สุดท้าย สำหรับ จุดตัดขาดทุน (Stop-loss) ควรตั้งไว้ ต่ำกว่ารูปแบบสามเหลี่ยมขาขึ้น หรือ เหนือรูปแบบสามเหลี่ยมขาลง เพื่อป้องกันการสูญเสียจากการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิด

4. รูปแบบธงสามเหลี่ยม 

รูปแบบธงและสามเหลี่ยม จะก่อตัวขึ้นหลังจากราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ธง (Flags) มีลักษณะเป็นช่องขนานขนาดเล็ก ในขณะที่สามเหลี่ยมชายธง (Pennants) มีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยมขนาดกะทัดรัด ทั้งสองรูปแบบบ่งบอกถึง การหยุดพักชั่วครู่ ก่อนที่แนวโน้มเดิมจะดำเนินต่อไป

วิธีอ่าน: “เสาธง” ที่ชัน ตามด้วยการพักฐาน สั้นๆ บ่งชี้ว่าแนวโน้มมีแนวโน้มที่จะกลับมาดำเนินต่อ หากรูปแบบดังกล่าวปรากฏในช่วงขาขึ้นหมายถึงราคาจะไปต่อ แต่ถ้าพบในช่วงขาลงหมายความว่าราคาจะดิ่งตัว 

ดังนั้น เทรดเดอร์มักจะเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลง (pullback) ภายในรูปแบบธงหรือสามเหลี่ยมชายธง เพื่อปรับปรุงอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนให้ดีขึ้น และทำการวาง SL ไว้ ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของธงหรือสามเหลี่ยมชายธงสำหรับขาขึ้น หรือวางไว้เหนือจุดสูงสุดสำหรับขาลง

5. รูปแบบลิ่ม

รูปแบบลิ่ม (Wedge patterns) จะก่อตัวขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของราคาได้สร้างเส้นแนวโน้มที่บรรจบกันซึ่งมีความลาดเอียงขึ้น (สัญญาณขาลง) หรือลาดเอียงลง (สัญญาณขาขึ้น)

วิธีอ่าน: รูปแบบลิ่มที่เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้นมักส่งสัญญาณถึง การกลับตัวที่อาจเกิดจากโมเมนตัมอ่อนแอลง ในขณะที่รูปแบบลิ่มที่เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลงจะชี้ไปที่ การกลับตัวเป็นขาขึ้น

นอกเหนือจากนี้รูปแบบลิ่มยังสามารถทำหน้าที่เป็น สัญญาณต่อเนื่องสอดคล้องกับแนวโน้มหลัก ให้วัดความสูงของลิ่มแล้วคาดการณ์ระยะทางนั้นจากจุดที่ทะลุแนวต้าน/แนวรับ เพื่อประเมินราคาเป้าหมาย ส่วนการตั้งจุดตัดขาดทุน ให้วางไว้นอกเส้นแนวโน้มฝั่งตรงข้ามของรูปแบบลิ่ม

เครื่องมืออื่นๆที่น่าสนใจ

นอกเหนือจากกราฟแล้วตัวชี้วัด(อินดิเคเตอร์) ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรเรียนรู้ไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องทุ่นแรงให้กับนักเทรดเป็นอย่างมาก และทำให้เราสามารถสกัดข้อมูลออกมาได้แม่นยำมากขึ้น

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ Moving averages (SMA/EMA) 

เป็นเครื่องมือที่ติดตามแนวโน้มโดยการดูว่า เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) ระยะสั้นตัดขึ้นหรือลงเหนือหรือใต้ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) ระยะยาว เส้น EMA ให้ น้ำหนักกับข้อมูลราคาล่าสุดมากกว่า ทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เร็วกว่า ในขณะที่เส้น SMA จะคำนวณราคาปิดเฉลี่ยในช่วงเวลาที่เลือกไว้เพื่อให้เห็นภาพรวมของแนวโน้มโดยรวม

Relative Strength Index (RSI)

ใช้สำหรับตรวจดูสถานการณ์ในขณะนั้นว่ามีการซื้อขายที่ร้อนแรงเกินไปหรือไม่ (>70 สำหรับแรงซื้อ) (<30 สำหรับแรงขาย) ทำให้นักเทรดสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะเข้าไปตามตลาดหรือรออยู่นอกสนามดูสถานการณ์ก่อนทั้งในช่วง ราคาดีดตัว หรือ ดิ่งลงอย่างรุนแรง

Moving average convergence/divergence (MACD)

เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ฮิสโตแกรม เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัม เมื่อเส้น MACD ตัดกับเส้นสัญญาณ (signal line) ช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างเส้นทั้งสองมักบ่งชี้ถึง โมเมนตัมที่แข็งแกร่งขึ้น

Bollinger Bands

ติดตาม การบีบตัวของความผันผวนเพื่อค้นหา การทะลุแนวต้าน/แนวรับ หรือ การกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น เมื่อราคาทะลุขึ้นเหนือหรือลงใต้แถบ Bollinger Bands จะบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้น แถบที่แคบลงบ่งชี้ถึงการพักฐานซึ่งมักจะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรุนแรง

การบริหารความเสี่ยง

อย่างไรก็ตามแม้นักเทรดจะสามารถอ่านกราฟหรือใช้เครื่องมือจนชำนาญแล้วแต่การบริหารความเสี่ยงยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในวงการเทรด เพราะทุกความเคลื่อนไหวของกราฟไม่จำเป็นที่จะต้องสอดคล้องกับทฤษฏีเสมอไป 

ดังนั้น การจัดการความเสี่ยง เช่น การเทรดในปริมาณที่พอเหมาะ , การตั้งจุดตัดขาดทุน , การตั้งจุดทำกำไร จึงเป็นสิ่งที่ควรทำในการเทรดทุกครั้ง เพื่อปกป้องไม่ให้พอร์ตของเราสูญเสียเกินความจำเป็น เพราะสุดท้ายแล้วคนที่อยู่ในตลาดได้นานกล่าวย่อมแข็งแกร่งกว่านักเทรดที่ดวงดีโดยบังเอิญ

ที่มา : Cointelegraph