เมื่อไม่นานมานี้ ส.ว.ซินเธีย ลัมมิส จากพรรครีพับลิกัน ได้ออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาแผนการที่อาจถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินสหรัฐฯ นั่นคือ การเปลี่ยนทองคำสำรองบางส่วนของประเทศให้เป็น Bitcoin (BTC) เพื่อสร้างทุนสำรองดิจิทัลเชิงกลยุทธ์ โดยมีเป้าหมายหลักคือ การรับมือกับวิกฤตหนี้สาธารณะที่กำลังพุ่งสูงขึ้น
ปัจจุบันหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 38 ล้านล้านดอลลาร์ และภาระดอกเบี้ยคาดว่า จะสูงถึง 14 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า ทำให้เกิดการเรียกร้องให้ใช้แนวทางใหม่เพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพทางการคลัง
ส.ว. ลัมมิส เชื่อว่า การขายหรือประเมินมูลค่าทองคำสำรองใหม่เพื่อนำไปซื้อ Bitcoin นั้น สามารถ “ลดหนี้สาธารณะลงได้ครึ่งหนึ่ง ภายในเวลา 20 ปี”
แนวคิดนี้เรียกว่า “Lummis Blueprint” ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการศึกษาที่มองว่า การเข้าซื้อ Bitcoin ประมาณ 5% ของอุปทานทั่วโลก หรือราว 1 ล้าน BTC จะให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่เติบโตแบบทวีคูณเมื่อเทียบกับการถือครองทองคำ
ข้อมูลชี้ชัดว่า การโยกย้ายเงินทุน 5% จากทองคำสามารถผลักดันราคา BTC ให้พุ่งสูงถึงประมาณ 242,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญ
ส.ว. ลัมมิส เผยกลไกคือ การที่สหรัฐฯ จะนำทองคำสำรองจำนวน 261.5 ล้านทรอยออนซ์ มาประเมินราคาใหม่ และเปลี่ยนเป็น Bitcoin ซึ่งจะสามารถระดมเงินได้ประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ สำหรับการลงทุนนี้ โดยมองว่า เป็นการสร้างทุนสำรองเชิงกลยุทธ์ที่อาศัยศักยภาพการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ Bitcoin
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์เตือนว่า การขายทองคำจำนวนกว่า 8,000 ตัน อาจ กดดันราคาทองคำทั่วโลก และการแทนที่สินทรัพย์สำรองที่มั่นคงด้วย Bitcoin ที่มีความผันผวนสูงอาจกัดกร่อนความเชื่อมั่นในตลาดหนี้ของสหรัฐฯ
ผู้สังเกตการณ์เตือนว่า การลงทุน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์นี้ จะไม่สามารถลบหนี้ทั้งหมดได้ เว้นแต่ Bitcoin จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงกว่า 700% จากราคาปัจจุบัน แต่ทว่า ส.ว. ลัมมิส เน้นย้ำว่า การไม่ทำอะไรเลยอาจมีความเสี่ยงมากกว่า เธอเชื่อว่า การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง จะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกา
