ในโลกของการลงทุน “การขายหมู” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีที่มีความผันผวนสูง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นการขาย Bitcoin ที่ราคา $60,000 ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมแต่ใครจะไปรู้ว่าปีถัดมาราคาของ Bitcoin จะพุ่งไปถึง $120,000
หากยกตัวอย่างเอาเรื่องที่ใกล้ตัวเข้ามาหน่อยอาจเป็นกรณีของ Zcash ที่ในระยะเวลาเพียง 2 เดือนกลับพุ่งทะยานกว่า 8 เท่าตัว จาก $40 ขึ้นมาเป็น $341
ทั้งนี้ ในตลาดหุ้นเองก็เกิดเหตุการณ์รูปแบบดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน และไม่ใช่นักลงทุนรายย่อยเท่านั้นที่จะพลาดขายหมูขึ้นมา เพราะแม้แต่นักลงทุนระดับหัวแถวก็มีพลาดกันให้เห็น จึงเป็นที่มาของบทความนี้ว่าทำไมขายหมูจึงไม่ใช่เรื่องที่แย่หรือน่าอายเสมอไป
สำหรับเรื่องราวการขายหมูในครั้งนี้เป็นของ Aswath Damodaran นักลงทุนสาย VI และอาจารย์สอนประเมินมูลค่าหุ้นอันดับต้นๆ ของโลก ที่ตัวเขาขายหุ้น NVDIA ไปแล้วกว่า “ครึ่งหนึ่งของที่มี” โดยที่ไม่รู้เลยว่าหากถือเอาไว้อีกเพียงไม่กี่ปีราคาจะพุ่งทะยานไปอีกไกล

Damodaran เคยประเมินมูลค่าและซื้อหุ้นของ Nvidia มาตั้งแต่ช่วงปี 2018 ในราคา “หลักหน่วย” ซึ่งหากคำนวนกับราคา ณ ปัจจุบันแล้วเขาจะมีกำไรเพิ่มกว่า 40 เท่าตัว
เขากล่าวว่ารู้สึกเสียดายเหมือนกันที่ชวดกำไรก้อนโตทั้ง ๆ ที่การวิเคราะห์ของเขาถูกต้อง แต่นั่นก็ไม่ได้บั่นทอนความรู้สึกของเขามากนักและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าต่อเพื่อหาสินทรัพย์ในการลงทุนตัวอื่น ๆ
กลยุทธ์ของนักลงทุนระดับโลก
สำหรับสาเหตุว่าทำไมคุณ Damodaran จึงขายหมูทั้งๆที่เขามองออก ต้องแบ่งเป็น 2 สาเหตุคือ 1. เขาไม่คิดว่า AI จะเติบโตได้รุนแรงขนาดนี้ 2. ขายตามกฏของตนเอง
Damodaran เล่าว่า หุ้นทุกตัวที่เขาซื้อ จะถือไม่เกิน 5% ของพอร์ต และถ้าราคาหุ้นพุ่งขึ้นจนทำให้สัดส่วนในพอร์ตเติบโต เขาจะรินขายออกไปเรื่อยๆ เพื่อจัดการความเสี่ยงและปกป้องความมั่งคั่งไว้ อีกทั้งยังเป็นการลดความรู้สึกผิดที่อาจเกิดในอนาคตที่ว่า “ตอนนั้นทำไมไม่ทำอย่างโน้นอย่างนี้ หรือ รู้งี้”
แต่กลยุทธ์ก็ทำให้เขาชวดกำไรไปเป็นจำนวนมากเหมือนกัน เพราะสไตล์การลงทุนของ Damodaran จะไม่ทุ่มหมดเงินก้อนใหญ่ไปกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ทำให้แม้จะไม่ขาดทุนหนักแต่ก็จะร่ำรวยช้าลงไปเช่นกัน
Damodaran ไม่ได้มองว่าการขายหมูของเขาเป็นข้อผิดพลาด ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเพราะเขายังคงยึดมั่นในแผนการเทรดของตนเอง ทำให้กำไรที่ได้แม้จะน้อยแต่ก็ยังคงเป็นกำไร
Bitcoin
สุดท้ายนี้ Damodaran ได้มีการพูดถึง Bitcoin เอาไว้เล็กน้อย โดยตัวเขามองมันเป็นสินทรัพย์ทางเลือกสำรองมากกว่าสินทรัพย์หลักที่เขาจะลงทุน เพราะในตอนนี้มันยังต้องพิสูจน์อีกว่าจะมี “ความต้องการ” ที่สูงอยู่จริงไหมและเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้นแทบจะเอาไปคิดคำนวนไม่ได้
เขายังเตือนนักลงทุนด้วยว่า เมื่อใดก็ตามที่นักลงทุนสถาบันหมายปองในสินทรัพย์ของคุณ (Bitcoin) สถานะของมันกำลังจะถูกเปลี่ยนจากสินทรัพย์ทางเลือกเป็นสินทรัพย์หลัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนักเพราะจะทำให้ Bitcoin กลับมาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้น แทนที่จะเป็นอิสระด้วยตัวของมันเอง

