โลกการเงินกำลังสั่นสะเทือนจาก “ทฤษฎีมิลค์เชค Bitcoin” (Bitcoin Milkshake Theory) ของ Michael Saylor ผู้ก่อตั้ง MicroStrategy (ปัจจุบันคือ Strategy) ซึ่งอ้างว่า Bitcoin จะดึงดูดสภาพคล่องและมูลค่ามหาศาลจากสินทรัพย์โลกที่ขาดสภาพคล่องมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แผนการอันทะเยอทะยานนี้ได้รับการนำเสนอผ่านแผนภาพที่สร้างโดยนักวิเคราะห์ @Croesus_BTC (อ้างอิงข้อมูลจาก Jesse Myers) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมูลค่าสินทรัพย์ทั่วโลกทั้งหมดที่สูงถึง $1,000 ล้านล้าน โดยมี Bitcoin ที่มีมูลค่าตลาดเพียง $2 ล้านล้าน อยู่ในจุดที่จะดูดซับมูลค่าจากกลุ่มสินทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุด ได้แก่:
- อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate): $370 ล้านล้าน
- พันธบัตร (Bonds): $318 ล้านล้าน
- ทองคำ (Gold): $22 ล้านล้าน
กลไก “มิลค์เชค” ทำงานอย่างไร?
หัวใจสำคัญของทฤษฎีนี้คือกลยุทธ์ทางการเงินที่ Strategy ($MSTR) ใช้ในการซื้อ Bitcoin อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Saylor ได้อธิบายว่าเป็น “การเล่นแร่แปรธาตุทางการเงิน” กลไกดังกล่าวประกอบด้วย:
- ใช้หนี้ราคาถูก (Low-Cost Debt): Strategy ออก ตราสารหนี้แปลงสภาพ (Convertible Notes) ที่มีดอกเบี้ยต่ำ (บางครั้ง 0% หรือใกล้เคียง) ซึ่งเป็นหนี้ที่ผู้ถือสามารถเลือกแปลงเป็นหุ้นของบริษัทได้ในภายหลัง
- ซื้อ Bitcoin: นำเงินที่ได้จากการออกหนี้ไปซื้อ Bitcoin (BTC) เข้าสู่คลังสินทรัพย์ของบริษัท
- Bitcoin เป็นหลักประกันที่ดีกว่า: Saylor อ้างว่าในยุคที่เงิน Fiat กำลังอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ (Depreciation) Bitcoin เป็นหลักประกัน (Collateral) ที่เหนือกว่า มีสภาพคล่องสูง และ ขนย้ายง่าย จึงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนสถาบัน
ด้วยการนำ Bitcoin มาเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันและเป็นหัวใจของบริษัท Strategy สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องใหม่ ๆ จากตลาดการเงินแบบดั้งเดิม (TradFi) ซึ่งเงินทุนเหล่านี้จะค่อย ๆ “ดูด” (Milkshake) มูลค่าออกจากสินทรัพย์เก่า เช่น อสังหาริมทรัพย์และพันธบัตร
เสียงสะท้อนจากโลกการเงิน
วาทกรรม “Milkshake” นี้ได้จุดกระแสตอบรับอย่างร้อนแรงในโลกออนไลน์:
- มุมมองสุดขั้ว: ผู้ใช้งานรายหนึ่งถึงกับเปรียบกลยุทธ์ของ Saylor ว่าเป็นการ “ดูดทองคำ อสังหาฯ พันธบัตร และขยะ Fiat ทั้งหมดเข้าสู่หลุมดำ Bitcoin” และคาดการณ์ว่าราคา Bitcoin อาจพุ่งไปสูงถึง $24 ล้าน ต่อเหรียญ หากประเทศและองค์กรขนาดใหญ่เข้าร่วม
- ความสนใจในกลยุทธ์: นักลงทุนจำนวนมากแสดงความสนใจใน “ซอสลับ” ของแผนนี้ และตั้งคำถามว่ากลยุทธ์การออกตราสารหนี้แปลงสภาพนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถ “โอนย้าย” มูลค่าจากสินทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่องอย่างอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างไร
- นักลงทุนสถาบัน: นักวิเคราะห์มองว่า หากสถาบันการเงินขนาดใหญ่เริ่มนำกลยุทธ์ที่คล้ายกันนี้มาใช้ นั่นจะทำให้เกิด “การหมุนเวียนเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ” และผลักดันมูลค่า Bitcoin ให้เข้าสู่ระดับใหม่ได้อย่างแท้จริง
Saylor ได้ยื่นเอกสารต่อ ก.ล.ต. สหรัฐฯ (SEC) เพื่อดำเนินแผนการสะสม Bitcoin มูลค่า $78,000 ล้าน ซึ่งตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นว่า Bitcoin ไม่ใช่แค่ทองคำดิจิทัล แต่เป็น “หลุมดำของเงินทุนทั่วโลก” ที่พร้อมจะดูดสภาพคล่องและมูลค่าจากระบบการเงินเดิม.
ที่มา: @BTC_Archive

