<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

วิเคราะห์และเจาะลึกท่าที FED – ทำไม ‘พาวเวล’ กล้าลดดอกเบี้ย ทั้งที่เงินเฟ้อยังสูง?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ท่ามกลางความสับสนของตลาดที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย สวนทางกับตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง คำอธิบายของ เจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ได้ให้ภาพที่ชัดเจนว่า Fed กำลัง “คิดอะไร” และกำลัง “เดิมพัน” กับอะไรอยู่

ยอมรับเงินเฟ้อสูง-แต่โทษ ‘กำแพงภาษี’

ในการแถลงข่าวหลังการประชุม พาวเวลยอมรับว่าอัตราเงินเฟ้อยังคง “ค่อนข้างสูง” โดยมาตรวัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญ (Core PCE) ยังคงวิ่งอยู่ที่ประมาณ 2.8% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ Fed อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม พาวเวลได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า ตัวเลขที่สูงนี้มีปัจจัยรบกวนสำคัญรวมอยู่ด้วย เขากล่าวว่ากำแพงภาษี (Tariffs) ของรัฐบาลทรัมป์ได้ส่งผลกระทบต่อตัวเลขเงินเฟ้อนี้ประมาณ 0.5%

กลยุทธ์ “มองข้าม” ทำไม Fed เชื่อว่าผลกระทบแค่ ‘ชั่วคราว’

ประเด็นสำคัญที่สุดที่นักลงทุนต้องเข้าใจคือ Fed กำลังใช้กลยุทธ์ “มองข้าม” (Look Through) ผลกระทบจากกำแพงภาษี พาวเวลและทีมเศรษฐศาสตร์ของ Fed เชื่อว่ากำแพงภาษีนั้นเป็นเพียง “การเปลี่ยนแปลงระดับราคาแบบครั้งเดียว” (One-time price shift) ไม่ใช่ “ภาวะเงินเฟ้อที่ต่อเนื่อง” (Persistent Inflation)

พูดง่ายๆ คือ Fed มองว่าการขึ้นภาษีจะทำให้ราคาสินค้านำเข้า (เช่น เครื่องซักผ้า, เสื้อผ้า) “กระโดด” สูงขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่จะไม่ใช่ตัวการที่ทำให้ราคาสินค้าอื่นๆ ต้องปรับขึ้นตามเป็นลูกโซ่ในทุกๆ เดือน

ด้วยตรรกะนี้ Fed จึงเลือกที่จะ “มองข้าม” ผลกระทบ 0.5% นี้ไปชั่วคราว และมุ่งเน้นไปที่ความเสี่ยงด้านตลาดแรงงานที่กำลังอ่อนแอลงอย่างชัดเจน

ความเสี่ยงของเดิมพันครั้งนี้ ถ้า Fed คิดผิด?

แม้ว่าทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ “ตามตำรา” จะสนับสนุนแนวคิดของพาวเวล แต่นักวิเคราะห์หลายคนก็เตือนว่านี่คือการเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูง

  • ถ้าภาษีไม่ชั่วคราว อะไรจะเกิดขึ้นหากกำแพงภาษีไม่ได้ “ชั่วคราว” แต่ถูกนำมาใช้ต่อเนื่องหรือเพิ่มขึ้นอีก? ผลกระทบ “ครั้งเดียว” ก็อาจจะกลายเป็น “หลายครั้ง” จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้
  • ปัญหาเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) นี่คือสิ่งที่อันตรายที่สุด แม้ Fed จะบอกว่ามันชั่วคราว แต่ถ้าประชาชนทั่วไปและภาคธุรกิจ “รู้สึก” ว่าของแพงขึ้นทุกวันจากผลของภาษี พวกเขาอาจจะเริ่มคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะสูงต่อไป และนำไปสู่การเรียกร้องค่าแรงที่สูงขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อฝังรากลึกและควบคุมได้ยากยิ่งขึ้นในอนาคต