<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ทรัมป์โป๊ะแตก? ‘หลุดไมค์’ คุย สี จิ้นผิง 4 ชั่วโมง-ดีล ‘น่าพอใจ’ – พร้อมบอก ไต้หวันก็คือไต้หวัน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังเตรียมตัวสำหรับการประชุมสุดยอดครั้งสำคัญกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนในวันพฤหัสบดีนี้ ได้เผลอหลุดปากระหว่างการสนทนาที่ไมโครโฟนยังเปิดอยู่ (Hot Mic) โดยเปิดเผยว่าเขาวางแผนที่จะใช้เวลากับผู้นำจีนนานกว่าที่คาด

หลุดคุยยาว 4 ชั่วโมง-สวนทางตารางทำเนียบขาว

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำทางการทูตซึ่งมีประธานาธิบดี ลี แจ มยอง แห่งเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ โดยทรัมป์ถูกได้ยินขณะกล่าวอ้างว่า การประชุมกับ สี จิ้นผิง ในวันพฤหัสบดีนี้จะใช้เวลา “สามถึงสี่ชั่วโมง” ซึ่งขัดแย้งอย่างชัดเจนกับกำหนดการอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาว ที่จัดสรรเวลาสำหรับการประชุมสุดยอดนี้ไว้เพียงไม่ถึงสองชั่วโมง

“เรากำลังจะมีบางอย่างที่มันจะน่าพอใจอย่างยิ่งยวด ทั้งสำหรับจีนและสำหรับเรา” ทรัมป์กล่าวกับบรรดาผู้นำในงานเลี้ยง “ผมคิดว่ามันจะเป็นการประชุมที่ดีมาก ผมตั้งตารอเลยสำหรับเช้าวันพรุ่งนี้ที่เราจะพบกัน”

ไม่กังวลเกาหลีเหนือ-ชี้ ‘เดี๋ยวก็ดีเอง’

ประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งกำลังจะสิ้นสุดการเยือนเอเชีย 3 ประเทศในวันพฤหัสบดีนี้ ยังได้ปัดความกังวลเกี่ยวกับ คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ

“คุณมีเพื่อนบ้านที่ไม่ได้น่ารักเท่าที่ควรจะเป็น และผมคิดว่าพวกเขาจะเป็น” ทรัมป์กล่าวกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ “ผมรู้จัก คิม จองอึน ดี และผมคิดว่าทุกอย่างจะออกมาดี”

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยกล่าวว่าเขา “อยากจะพบ” กับคิม จองอึน ในระหว่างการเยือนครั้งนี้ โดยย้ำถึง “ความสัมพันธ์อันอบอุ่น” ที่น่าประหลาดใจระหว่างเขาทั้งสองในวาระแรก

วาระร้อน:สงครามการค้า, ยาเสพติด… แต่ ‘ไต้หวันคือไต้หวัน’

การประชุมในวันพฤหัสบดีนี้ คาดว่าจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นร้อนแรงอย่างสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน, การปราบปรามยาเสพติดเฟนทานิลที่ไหลทะลักเข้าสหรัฐฯ และการควบคุมการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ

ก่อนหน้านี้ในวันพุธ ทรัมป์ได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เขาคาดหวังว่าจะ “ลดภาษี (จีน) ลง” โดยให้เหตุผลว่า “เพราะผมเชื่อว่าพวกเขาสามารถช่วยเราในสถานการณ์เฟนทานิลได้”

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้ลดความสำคัญของประเด็นที่อ่อนไหวที่สุดอย่างไต้หวันลง “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะพูดถึงไต้หวันกันหรือเปล่า” ทรัมป์กล่าว “ไต้หวันก็คือไต้หวัน”

ที่มา: nypost