ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า เขาจะไม่เข้าร่วมการไต่สวนด้วยวาจาของศาลสูงสุดสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 5 พ.ย.นี้ เกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการภาษีศุลกากรทั่วโลก ที่เขาเป็นผู้กำหนดขึ้น
ทรัมป์ให้เหตุผลว่า การเข้าร่วมของเขาอาจ “สร้างความวุ่นวาย” และเบี่ยงเบนความสนใจจากสาระสำคัญของคดี โดยเขากล่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันว่า “ผมอยากไปมากจริง ๆ… แต่ไม่อยากให้ความสนใจของสาธารณชนมาจดจ่อที่ตัวผมมากเกินไป นี่ไม่ใช่เรื่องของผม แต่เป็นเรื่องของประเทศของเรา”
คดีที่ศาลสูงสุดจะพิจารณาในวันที่ 5 พ.ย.นี้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการ ท้าทายขีดจำกัดอำนาจของทรัมป์ ในการเรียกเก็บภาษีการค้าจากทั่วโลกภายใต้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977 แม้ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นของรัฐบาลกลางจะตัดสินว่าทรัมป์ได้ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ก็ยังอนุญาตให้ดำเนินการเก็บภาษีต่อไปได้จนกว่าจะมีคำตัดสินสุดท้ายจากศาลสูงสุด
อย่างไรก็ตาม สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง ได้ออกมาแสดงความมั่นใจว่า ถึงแม้ศาลจะตัดสินให้ยกเลิกมาตรการภาษีตาม IEEPA รัฐบาลก็มี “แผนสำรอง” โดยพร้อมใช้มาตรการทางกฎหมายอื่น ๆ เช่น มาตรา 122 หรือมาตรา 338 ที่ให้อำนาจกำหนดภาษีตอบโต้คู่ค้าได้สูงสุดถึง 50% เพื่อแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า ซึ่งเบสเซนต์ย้ำชัดเจนว่า “คุณควรถือว่ามาตรการภาษีของทรัมป์จะยังคงอยู่ต่อไปและจะไม่ถูกยกเลิกง่ายๆ”
ผลการตัดสินคดีนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อกฎหมายการค้าสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยัง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ( คริปโตเคอเรนซี) ในหลายมิติ นักวิเคราะห์มองว่า หากทรัมป์ชนะคดี และมาตรการภาษียังคงอยู่ จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจ กดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงคริปโต แต่ตลาดการค้าโลกจะมีเสถียรภาพชัดเจนขึ้นในระยะยาว ทำให้นักลงทุนสถาบันอาจกลับเข้าสู่ตลาด
ในทางกลับกัน หากทรัมป์แพ้ และมาตรการภาษีถูกยกเลิก จะเพิ่มความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกและอาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็น บวกต่อราคา Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือก แต่ตลาดหุ้นก็อาจปรับตัวลงและฉุดตลาดคริปโตตามไปด้วย
ประเด็นที่น่าสนใจคือญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปซึ่งได้เจรจาข้อตกลงผ่อนปรนกับสหรัฐฯ ไปแล้วก็เชื่อว่าข้อตกลงเหล่านี้จะยังคงมีผลต่อไปไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร
ดังนั้น การพิจารณาคดีในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ จึงเป็นการทดสอบขีดจำกัดอำนาจของฝ่ายบริหารสหรัฐฯ และจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมส์สำคัญที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรติดตามผลอย่างใกล้ชิด

