ใครที่อยู่ในตลาดมาสักพักคงรู้ดีว่า ราคาคริปโตไม่ได้วิ่งเพราะ “ตรรกะ” หรือ “ตัวเลข” เสมอไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว มันมักขับเคลื่อนด้วย “อารมณ์” ของมนุษย์ ทั้งความโลภ ความกลัว ความหวัง และความเจ็บปวด
และบทความนี้จะมาเปิดเผย “3 หายนะซ้ำซาก” ที่ทำลายพอร์ตนักลงทุนส่วนใหญ่มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่หลายคนต่างก็รู้ดีว่า ตัวเองกำลังทำผิดอยู่แต่ก็ยังทำ
1. ซื้อตอนราคาขึ้น แล้วรู้ตัวอีกทีว่าอยู่บน “ยอดดอย”
ทุกอย่างเริ่มจากอาการที่เรียกว่า “FOMO” หรือความรู้สึกกลัวตกรถ เมื่อเห็นเพื่อนรวย เห็นกราฟเขียว เห็นคนในโซเชียลโพสต์อวดกำไรเป็นสิบเท่า คุณจะเริ่มรู้สึกว่าถ้าไม่รีบเข้า “จะพลาดโอกาสครั้งใหญ่”
แล้วสุดท้ายก็ซื้อเข้าไปโดยไม่มีแผน ไม่มีจุดออก ไม่มีเหตุผลนอกจาก “อยากรวยเหมือนคนอื่น” ผลลัพธ์คือ คุณกำลัง “ซื้อบนยอดดอย” โดยไม่รู้ตัว และหายนะรอบใหม่ก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
2. ราคาลงแล้ว “ซื้อถัว” เพื่อเฉลี่ยต้นทุน
เมื่อราคาดิ่งลง นักลงทุนส่วนใหญ่จะเข้าสู่ด่านที่สองของความเจ็บปวด นั่นคือ การถัวเฉลี่ยต้นทุน สิ่งที่ซ่อนอยู่ในพฤติกรรมนี้ คือจิตใต้สำนึกที่พยายาม “ปกป้องอีโก้ของตัวเอง” เพราะเราไม่อยากยอมรับว่าตัวเอง “ลงทุนผิดพลาดไป” เลยพยายามกลบความผิดพลาดด้วยการซื้อเพิ่ม เพื่อให้ตัวเลขต้นทุนดูดีขึ้น
ในความเป็นจริงแล้ว การซื้อถัวเฉลี่ยถือเป็นเรื่องดีสำหรับการลงทุนที่ถูกวางแผนมา แต่ถ้าไม่มีการวางแผนมาเลย นี่คือการเพิ่มเงินเข้าไปในความเสี่ยง และถ้าคุณซื้อเพิ่มเพียงเพราะ “เชื่อว่ามันต้องกลับขึ้นแน่ ๆ” โดยไม่มีเหตุผลรองรับ นั่นไม่ใช่การลงทุน แต่มันคือ “การพนันล้วนๆ”
3. ราคาลงต่อ ทนไม่ไหว “ขายขาดทุน”
หายนะสุดท้ายจะจบลง เมื่อราคาดิ่งลงจนจิตใจทนไม่ไหว เพราะขาดการวางแผนที่ถูกตั้งแต่ต้น คุณจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “Panic Sell” หรือขายเพราะตกใจ ขายเพราะกลัว ขายเพราะอยากหนีความผิดพลาดทั้งหมด
ในช่วงที่คุณขายนั้นเอง “เจ้ามือ” และ “กองทุนใหญ่ๆ” กำลังรอซื้ออย่างใจเย็น
นี่แหละคือ จุดที่คนส่วนใหญ่ขายที่จุดต่ำสุด แล้วอีกไม่กี่เดือนต่อมาก็ต้องพูดกับตัวเองว่า “รู้อย่างนี้ ไม่น่าขายเลย”
กุญแจสู่การหลุดพ้นคือ การเป็น “นาย” เหนืออารมณ์ตัวเอง
ตลาดคริปโตไม่เคยใจร้ายกับใคร มันแค่สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของนักลงทุนแต่ละคน สาเหตุที่หลายคนรู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังทำพลาดซ้ำ ๆ เป็นเพราะมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ “หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด”และ “การยอมรับการขาดทุน” คือความเจ็บปวดที่สาหัสที่สุดสำหรับนักลงทุน
การจะอยู่รอดในตลาดนี้ให้ได้ คุณต้องรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง ต้องมีแผนการเทรดที่ชัดเจนก่อนเข้าตลาด และอย่าให้ความรู้สึก “กลัวตกรถ” หรือ “อยากเอาคืน” กลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการลงทุนของคุณเอง

