เมื่อวันพุธที่ 5 พ.ย. 2025 ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐฯ ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่งไต่สวนคดีใหญ่ที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางอำนาจของประธานาธิบดี Donald Trump หลังจากคำสั่ง “เก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ” ที่เขาออกไว้เมื่อต้นปี ถูกมองว่าอาจล้ำเส้นกฎหมายอย่างร้ายแรง
คดีนี้มีต้นต้อมาจากกฎหมายปี 1977 ชื่อว่า International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีประกาศ “ภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ” เพื่อรับมือภัยคุกคามที่กระทบความมั่นคงของชาติ หรือเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทรัมป์อ้างอิงกฎหมายนี้เพื่อออกภาษี 2 ชุดใหญ่
1.ภาษีจากการค้าผิดกฎหมาย (Trafficking Tariff) ที่มีการพุ่งเป้าสินค้าจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก โดยอ้างว่ามี “ยาเฟนทานิลทะลักเข้าอเมริกา”
2.ภาษีเท่าเทียมกัน (Reciprocal Tariff) ภาษีเริ่มต้น 10% สำหรับสินค้าทั่วโลก โดยให้เหตุผลว่า การขาดดุลทางการค้าคือ “ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ”
แต่ฝ่ายผู้ฟ้อง ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและรัฐบาล 12 รัฐ มองว่าทรัมป์ ใช้กฎหมายนี้เกินขอบเขตอำนาจ ที่รัฐสภามอบไว้ให้ ทำให้ศาลสูงสุดต้องเข้ามาตัดสิน
ฝ่ายตัวแทนของทรัมป์ยัน “ภาษีคือการควบคุมการนำเข้า”
อัยการสหรัฐฯ D. John Sauer จากฝั่ง Trump ยืนยันว่า กฎมหาย IEEPA ให้อำนาจเต็มที่แก่ประธานาธิบดีในการ “ควบคุมการนำเข้า” และการเก็บภาษีศุลกากรก็เป็นหนึ่งในวิธีการควบคุมนั้นโดยตรง เขาเปรียบเทียบว่า “ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือดั้งเดิมที่สุดในการปกป้องเศรษฐกิจของประเทศ”
แต่ทางฝั่ง Neal Katyal ตัวแทนฝ่ายธุรกิจ โต้กลับอย่างดุเดือดว่า “ไม่มีทางที่รัฐสภาจะตั้งใจมอบอำนาจให้ประธานาธิบดีเปลี่ยนระบบภาษีของประเทศทั้งระบบได้ด้วยตัวเอง” พร้อมเสริมว่า ตลอดเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้นำคนไหนใช้กฎหมายนี้เพื่อเก็บภาษีศุลกากรเลยสักครั้ง
ท่าทีของผู้พิพากษาของศาลสูงสุด
สิ่งที่น่าจับตามองคือ เสียงจาก “ผู้พิพากษาทั้งสองขั้วการเมือง” ต่างก็แสดงความกังวลคล้ายกัน
ผู้พิพากษา Elena Kagan และ Ketanji Brown Jackson จากฝั่งเสรีนิยม ชี้ว่า
“สิทธิ์ในการเก็บภาษีและควบคุมการค้าระหว่างประเทศเป็นอำนาจของรัฐสภา ไม่ใช่ของประธานาธิบดี”
ผู้พิพากษา Neil Gorsuch จากฝั่งอนุรักษ์นิยม เสริมว่า หากตีความแบบที่รัฐบาลเสนอ “รัฐสภาอาจเทอำนาจทั้งหมดด้านเศรษฐกิจให้ประธานาธิบดีโดยไม่เหลืออำนาจอะไรเลย”
แม้ว่าผู้พิพากษาบางท่าน เช่น Amy Coney Barrett และ Brett Kavanaugh จะแสดงความไม่มั่นใจในข้อโต้แย้งของฝ่ายตรงข้าม แต่ภาพรวมของการไต่สวนครั้งนี้บ่งชี้ถึงความไม่สบายใจอย่างหนักของศาลสูงสุดต่อการขยายขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี Donald Trump ในประเด็นทางเศรษฐกิจและการค้าที่ส่งผลกระทบวงกว้าง
ทั้งสองฝ่ายต่างร้องขอให้ศาลเร่งตัดสินคดีนี้ เพื่อยุติความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่า คำตัดสินจะมีขึ้นเมื่อใด แต่ด้วยทิศทางของคำถามจากผู้พิพากษาหลัก คดีภาษีนำเข้าของทรัมป์จึงถูกจับตามองว่า มีโอกาสจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายบริหาร และเป็นบทเรียนสำคัญในการตีความขอบเขตอำนาจประธานาธิบดีในภาวะฉุกเฉิน
ที่มา:scotusblog

