<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ทำไมทุกอย่างถึงเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อคุณมีเงิน 3 แสนบาท 

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ถ้าคุณคิดว่า การมีเงินเดือนปีละหลักล้านบาทจะรวยแล้ว คุณอาจต้องคิดใหม่

Graham Stephan นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์วัย 34 ปี ที่เริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่อายุ 18 และปิดดีลขายบ้านมูลค่ารวมกว่า 120 ล้านเหรียญมาแล้ว เคยแชร์มุมมองเกี่ยวกับ “หลักไมล์ทางการเงิน” ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า การมีเงินในแต่ละระดับต้องใช้กลยุทธ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และนั่นคือ เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ย่ำอยู่ที่จุดเดิม

งานวิจัยล่าสุดในสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า คนที่หารายได้เกิน 200,000 ดอลลาร์ต่อปีในอเมริกา มีจำนวนพอ ๆ กับคนที่รายได้ต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์ที่ต้องใช้เงินเดือนชนเดือน 

ส่วนคนที่จะถูกจัดว่า เป็น “ชนชั้นกลาง” ในปัจจุบัน ต้องมีรายได้ถึง 250,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือราว 8 ล้านบาท

ตัวเลขเหล่านี้บอกอะไรบางอย่างว่า ถ้าคุณไม่อยู่ใน 1% ของคนรวยที่สุด และถ้าไม่เข้าใจว่า ควรจัดการเงินอย่างไรในแต่ละช่วง คุณอาจจะติดอยู่ในจุดเดิมไปตลอดชีวิต

เงิน 320,000 บาทแรก คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริง

หลายคนบอกว่า เงิน 10,000 ดอลลาร์แรก หรือประมาณ 320,000 บาท คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด และมันก็จริง เงินจำนวนนี้พอให้คุณรับมือกับเหตุฉุกเฉินทางการเงินได้ พอให้คุณหายใจคล่อง รู้ว่า มีเงินพอซื้อของใช้จำเป็น และที่สำคัญ ถ้าเกิดตกงานขึ้นมา คุณจะไม่ต้องไปนอนข้างถนนในวันถัดไป

การเก็บเงิน เพื่อไปให้ถึง 320,000 บาทแรกให้เร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งที่คุณต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่ แต่การจะใช้เงินจำนวนนี้เป็นจุดเริ่มต้นสู่ความมั่งคั่งหลักล้านได้ มันต้องอาศัยมากกว่าการเก็บเงิน คุณต้องเรียนรู้ทักษะที่ทำเงินได้จริง ๆ เพราะทักษะคือ ตัวเร่งความมั่งคั่งที่ทรงพลังที่สุดในช่วงนี้

นอกจากนี้ คุณต้องเพิ่มประสิทธิภาพรายได้ให้สูงสุด ไม่ว่าจะด้วยการทำงานล่วงเวลา หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพราะในช่วงนี้ รายได้มีผลต่อความมั่งคั่งมากกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนเสียอีก และที่สำคัญ ห้ามมีหนี้ เพราะหนี้แม้แค่นิดเดียวก็สามารถดึงคุณถอยหลังไปหลายสิบปีได้

แต่อันตรายที่ใหญ่ที่สุดในช่วงนี้คือ Lifestyle Inflation หรือการเพิ่มค่าใช้จ่ายตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น นี่คือเหตุผลที่คนเงินเดือนหลักแสน ยังใช้เงินเดือนชนเดือนได้

เงิน 3.2 ล้านบาท คือ จุดที่เริ่มมีอิสรภาพ

หากเงิน 320,000 บาท สามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้ เงินจำนวน 3.2 ล้านบาท หรือ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่างหากที่มอบ “อิสรภาพทางการเงิน” ให้แก่คุณอย่างแท้จริง 

เมื่อถึงจุดนี้ คุณจะมีเงินเพียงพอที่จะรับมือกับวิกฤตทางการเงินได้เกือบทุกรูปแบบ ความเครียดจากการต้องหาเงินใช้จ่ายรายเดือนจะเริ่มหมดไป และคุณจะมีพื้นที่ให้คิดถึงเรื่องอื่น ๆ เช่น การเติบโตในสายอาชีพระยะยาว การพัฒนาตนเอง และการกล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผลในชีวิต

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อคุณมีเงินสะสมถึง $100,000 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าคุณได้เดินทางมาแล้วถึง หนึ่งในสี่ของเส้นทางสู่เป้าหมายหนึ่งล้านดอลลาร์ เนื่องจากจากจุดนี้เป็นต้นไป เงินของคุณจะเริ่ม “ทำงานหนัก” แทนคุณ ผ่านผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น

แต่การจะเดินต่อจากจุดนี้ไปสู่หนึ่งล้านเหรียญให้รวดเร็ว คุณต้องทำ 4 สิ่งต่อไปนี้ 1. คือลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยกลยุทธ์ Dollar Cost Average  2. หลีกเลี่ยงความผิดพลาดใหญ่ เพราะคนส่วนใหญ่จะพังระหว่าง 3.2 ล้านถึง 29 ล้านบาทด้วยการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือเสี่ยงเกินขนาด 3. ให้ความสำคัญกับการหารายได้เพิ่ม เพราะมันให้ผลลัพธ์เร็วกว่าการประหยัดเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ และ4. ทำความเข้าใจเรื่องภาษีให้ลึกซึ้ง รวมถึงจ้างนักบัญชีที่เก่งมาช่วยวางแผนภาษี

เงิน 32 ล้านบาท เกมเริ่มเปลี่ยน

นี่คือจุดที่เกมทั้งหมดจะพลิกผันอย่างแท้จริง เมื่อคุณมีเงินสะสมถึง 1 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 32 ล้านบาท ผลตอบแทนจากการลงทุนของคุณอาจเริ่มสูงกว่าเงินเดือนที่คุณหาได้จากงานประจำ ลองจินตนาการดูว่า ถ้าตลาดให้ผลตอบแทน 20% คุณจะได้รับกำไรถึง 6.4 ล้านบาท โดยที่คุณไม่ต้องลงมือทำงานใด ๆ เลย

จากจุดนี้ไป คุณสามารถมองการลงทุนเป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืน และไม่มีวันหมดได้ แต่การจะสร้าง และรักษาเงินจำนวนนี้ไว้ มันต้องอาศัยความระมัดระวังมากขึ้น คุณต้องกระจายความเสี่ยงอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งพังแล้วทำลายความมั่งคั่งของคุณไปทั้งหมด

คุณควรปกป้องตนเองจากความเสี่ยงขาลง ด้วยการทำประกันสุขภาพ ประกันเสริม(Umbrella Insurance) และมีแหล่งรายได้สำรอง เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น การถูกฟ้องร้อง หรือการตกงาน

และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ควรให้มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ เกิน 20% ของทรัพย์สินสุทธิ (Net Worth) ตัวอย่างเช่น ไม่ควรนำเงิน 100% ไปลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมด

เงิน 320 ล้านบาท และความมั่งคั่งที่แท้จริง

การไปให้ถึง 10 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 320 ล้านบาท ไม่สามารถทำได้ด้วยการประหยัดหรือเลิกดื่มกาแฟสตาร์บัคส์เพียงอย่างเดียว แต่มันต้องมาจากรายได้ที่สูงมาก การลงทุนอย่างต่อเนื่อง หรือการเป็นเจ้าของธุรกิจ

ณ จุดนี้ การทำงานเพื่อรับเงินเดือนอาจไม่คุ้มค่าอีกต่อไป เพราะผลตอบแทนที่คุณได้รับ จากการลงทุนสามารถแซงหน้าเงินเดือนได้อย่างง่ายดาย 

ตัวอย่างเช่น หากตลาดปรับตัวขึ้น 15% คุณอาจทำกำไรได้สูงถึง 48ล้านบาท ซึ่งผลกำไรก้อนนี้ อาจปลอดภาษีได้หากคุณยังไม่ขายทำกำไร (Unrealized Gain)

เมื่อความมั่งคั่งถึงระดับนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การอนุรักษ์ความมั่งคั่ง (Wealth Preservation) การวางแผนด้านอสังหาริมทรัพย์และมรดกจึงเป็นเรื่องใหญ่ และที่สำคัญคือ คุณต้องให้ความสำคัญกับเวลาเป็นอย่างยิ่ง

พอร์ตการลงทุนมูลค่า 320 ล้านบาท จะเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณ 22 ล้านบาทต่อปี นั่นหมายความว่า การที่คุณจ่ายเงิน 30,000 บาทให้ใครบางคนมาจัดการธุระแทนคุณ เพื่อให้คุณได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวันนั้น ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าที่คุณคิดมาก

ความหรูหราที่แท้จริง

แม้จะมีเงินหลายร้อยล้าน การซื้อรถคันที่ห้าหรือบ้านหลังที่สามอาจไม่ได้เพิ่มความสุข แต่กลับเพิ่มความยุ่งยาก ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมองว่า ความหรูหราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกระดับทางการเงินคือ ความสามารถในการควบคุมเวลาของคุณเอง

ความมั่งคั่งที่แท้จริงอาจไม่สามารถวัดด้วยตัวเลข แต่วัดด้วยเวลา ความสุข ความสมหวัง และสุขภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้ คุณสามารถเริ่มสร้างได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าคุณจะมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ก็ตาม