<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ไต้หวันอาจเพิ่ม Bitcoin เข้าทุนสำรองแห่งชาติ! หลังสภาดันให้ตรวจสอบคริปโตภาครัฐ ก่อนสิ้นปี

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

รัฐบาลไต้หวันกำลังถูกกดดันจากฝ่ายนิติบัญญัติให้ตรวจสอบทรัพย์สิน Bitcoin ที่รัฐบาลถือครอง และพิจารณานำคริปโตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองเงินแห่งชาติ เพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ โดย นายกรัฐมนตรี Cho Jung-tai ตอบรับและสัญญาว่า จะจัดทำรายงานสรุปภายในสิ้นปีนี้

เมื่อวันอังคาร ส.ส. Ju-Chun Ko จากพรรคก๊กมินตั๋ง แสดงความกังวลระหว่างการประชุมสภาเกี่ยวกับการที่ไต้หวัน “พึ่งพาดอลลาร์สหรัฐมากเกินไป” ในขณะที่สกุลเงินดิจิทัล กำลังมีบทบาทมากขึ้น

ข้อมูลจากธนาคารกลางสาธารณรัฐจีนระบุว่า ณ เดือนกันยายน 2025 ไต้หวันมีทุนสำรองระหว่างประเทศมูลค่า 602.94 พันล้านดอลลาร์ โดยกว่า 90% ของทั้งหมดเป็นสินทรัพย์สกุลดอลลาร์

 Ju-Chun Ko  เตือนว่า การถือครองสินทรัพย์เป็นดอลลาร์มากเกินไป อาจเสี่ยงหากค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว หรือหากดอลลาร์ไต้หวันแข็งค่าขึ้น เพราะจะกระทบต่ออำนาจซื้อของประเทศ และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม

Ju-Chun Ko  เรียกร้องให้รัฐบาล ตรวจสอบ Bitcoin ทั้งหมดที่รัฐถือครองอยู่ โดยเฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูก “ยึดจากคดีอาชญากรรมทางการเงิน” ซึ่งในปี 2024 ทางอัยการไต้หวันเคยยึดคริปโตมูลค่ารวมกว่า 146 ล้านดอลลาร์ จากคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่

Ko เสนอว่า Bitcoin ที่ถูกยึดควรถูก “เก็บไว้เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์” แทนที่จะรีบขายทอดตลาด เพราะในอนาคตสินทรัพย์เหล่านี้อาจกลายเป็นฐานทุนสำรองดิจิทัลที่สำคัญ

ด้านนายกรัฐมนตรี Cho Jung-tai ระบุว่า รัฐบาลยังคงเห็นดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลหลักของโลก แต่ “พร้อมเปิดรับการประเมินสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกิดขึ้นใหม่”

ขณะที่ผู้ว่าการธนาคารกลาง Yang Chin-long ยืนยันว่า จะจัดทำรายงานเกี่ยวกับกลยุทธ์ทุนสำรอง Bitcoin ภายในสิ้นปี 2025

แม้จะมีแนวคิดก้าวหน้า แต่ไต้หวันยังเผชิญอุปสรรคด้าน “กฎหมายและการกำกับดูแลคริปโต”

ส.ส. Ko วิจารณ์ว่า การร่างกฎหมาย Virtual Asset Service Provider (VASP) คืบหน้า “ช้ากว่าที่ควร” ซึ่งอาจทำให้ไต้หวันเสียโอกาสในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล

ปัจจุบันมีเพียง 9 แพลตฟอร์มคริปโตที่ได้รับอนุญาตในไต้หวัน แต่การขาดกรอบกฎหมายที่ชัดเจนอาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) ชะลอตัว

Ko เสนอให้ไต้หวันศึกษาตัวอย่างจากประเทศอื่น เช่น สหรัฐฯ ที่มีกฎหมาย GENIUS Act และ สิงคโปร์ที่มีมาตรฐาน Digital Asset Framework ซึ่งเน้น “ความร่วมมือระหว่างธนาคารและผู้ให้บริการคริปโต” มากกว่าการควบคุมแบบจากบนลงล่าง

ที่มา : beincrypto