<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ครั้งแรกในยุโรป ! ธนาคารกลางเช็กทุ่ม $1 ล้านเข้าสินทรัพย์ดิจิทัล นำร่องทดลองถือครอง Bitcoin

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐเช็ก (CNB) ได้ยืนยันการเข้าซื้อบิทคอยน์ (BTC) และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารได้ออกมาย้ำชัดเจนว่า การเข้าซื้อครั้งนี้ ไม่ใช่การนำไปรวมกับทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่เป็น “พอร์ตการลงทุนเพื่อทดสอบ” ที่จะถูกถือครองแยกต่างหากโดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใช้งานและประเมินผลโครงการนี้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

ตามรายงานระบุว่า พอร์ตการลงทุนดังกล่าวจะประกอบไปด้วย บิตคอยน์ (BTC) เป็นสินทรัพย์หลัก ส่วนที่เหลือจะเป็น Stablecoin ที่อิงกับสกุลเงินดอลลาร์ และเงินฝากในรูปแบบโทเคน

ธนาคารกลางเช็กระบุว่า “จุดประสงค์ของพอร์ตการลงทุนนี้ คือการได้สัมผัสประสบการณ์จริงในการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อนำไปปฏิบัติและทดสอบกระบวนการที่เกี่ยวข้องและจำเป็น”

สิ่งที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางเช็กไม่ได้แค่ต้องการ “ลองซื้อ” แต่ต้องการทดสอบกระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ต้นจนจบ

ธนาคารเผยว่า จะทำการทดสอบทุกอย่างที่บริษัทคริปโตต้องเจอในโลกจริง ตั้งแต่การเก็บรักษา, ความปลอดภัย, ไปจนถึงการปฏิบัติตามกฎหมาย

Ales Michl ผู้ว่าการธนาคารกลางเช็ก ซึ่งเป็นผู้เสนอแนวคิดนี้มาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้ให้วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่า วิธีการชำระเงินและการลงทุนรูปแบบใหม่กำลังเกิดขึ้น และธนาคารกลางจำเป็นต้องเตรียมพร้อม

เขากล่าว่า “ในอนาคต เราคาดหวังว่าเงิน CZK จะใช้ซื้อได้ทุกอย่าง ตั้งแต่กาแฟ ไปจนถึงพันธบัตรเช็กในรูปแบบโทเคน… แบงก์ชาติจึงต้องลงมาทดสอบเส้นทางนี้เอง”

แม้การเคลื่อนไหวนี้จะสร้างความฮือฮา แต่ธนาคารกลางเช็กก็ยังระมัดระวังอย่างมากเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำคริปโตฯ ไปรวมกับ “ทุนสำรองระหว่างประเทศ”

ก่อนหน้านี้ แนวคิดดังกล่าวเคยได้รับการตอบรับที่ “เย็นชา” จากธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยประธาน Christine Lagarde เชื่อว่าบิทคอยน์ยังไม่เหมาะจะเป็นสินทรัพย์ทุนสำรอง

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางเช็กชี้ว่า การซื้อคริปโตนอก “คลังทุนสำรอง” เพื่อการทดสอบครั้งนี้ สอดคล้องกับกฎหมายของทั้งเช็กและยุโรป และแม้ว่าพวกเขาจะสามารถลงทุนใน Bitcoin ETF ได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ก็ยังไม่ทำในตอนนี้ โดยให้เหตุผลว่าบิทคอยน์ยังมีประวัติศาสตร์ที่สั้น และยังเป็น “สินทรัพย์ที่ยังโตไม่เต็มที่”