ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารเมื่อวันศุกร์ (14 พ.ย.) เพื่อลดภาษีนำเข้าอาหารหลายรายการ รวมถึงกาแฟ เนื้อวัว กล้วย และมะเขือเทศ ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ
การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนท่าทีครั้งสำคัญ เนื่องจากทรัมป์ยืนกรานมาตลอดว่ากำแพงภาษีของเขาไม่ใช่สาเหตุของเงินเฟ้อ ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากพรรคเดโมแครตเพิ่งกวาดชัยชนะในการเลือกตั้งท้องถิ่น ทั้งในเวอร์จิเนีย นิวเจอร์ซีย์ และนิวยอร์ก โดยใช้ประเด็นค่าครองชีพเป็นกลยุทธ์หลักในการโจมตี ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายคนก็ชี้ว่า ราคาอาหารที่พุ่งสูงในปัจจุบันมีส่วนมาจากการที่ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้า 10% กับทุกประเทศตั้งแต่ต้นปี
ท่าทีที่ขัดแย้ง สวนทางคำพูดตัวเอง
การลดภาษีครั้งนี้ดูจะขัดแย้งกับท่าทีของทรัมป์เอง ที่เพิ่งโพสต์บน Truth Social ในช่วงเช้าวันศุกร์ว่า “ต้นทุนภายใต้รัฐบาลทรัมป์กำลังดิ่งลง” และเพิ่งให้สัมภาษณ์กับ “60 Minutes” ในเดือนนี้ว่า “เราไม่มีเงินเฟ้อ เราไม่มีเงินเฟ้อ ไบเดนต่างหากที่มีเงินเฟ้อ และเขาไม่ได้ใช้ภาษี”
อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวได้ออกเอกสารชี้แจง ว่าการปรับเปลี่ยนภาษีครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากความคืบหน้าที่สำคัญในการเจรจาการค้า และเป็นความจำเป็นและเหมาะสม
ผลพวงจากการเจรจาการค้า
คำสั่งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการประกาศ ข้อตกลงการค้ากับสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ที่จะลดภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จาก 39% เหลือ 15% และกรอบข้อตกลงการค้าใหม่ กับอาร์เจนตินา เอกวาดอร์ กัวเตมาลา และเอลซัลวาดอร์ ที่จะยกเลิกภาษีอาหารบางรายการเมื่อมีผลบังคับใช้
เดโมแครตชี้ รัฐบาล “จุดไฟเอง”
ริชาร์ด นีล (Richard Neal) สมาชิกพรรคเดโมแครตในคณะกรรมาธิการสภาฯ กล่าวว่า รัฐบาลทรัมป์ “กำลังดับไฟที่ตัวเองจุดขึ้นมา แล้วอ้างว่าเป็นความก้าวหน้า”
“ในที่สุดรัฐบาลทรัมป์ก็ยอมรับในสิ่งที่เรารู้มาตลอด” นีลกล่าวในแถลงการณ์ “สงครามการค้าของทรัมป์กำลังเพิ่มต้นทุนให้ประชาชน”
เขายังชี้ว่า “ตั้งแต่ใช้ภาษีเหล่านี้ เงินเฟ้อก็เพิ่มขึ้น และภาคการผลิตก็หดตัวลงทุกเดือน”
ที่มา: theguardian

