ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมายืนยันรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการแจกเงินช่วยเหลือประชาชน (Rebate checks) มูลค่า 2,000 ดอลลาร์ โดยระบุไทม์ไลน์ว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วง กลางปี 2026
ในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว ทรัมป์ระบุว่าเงินทุนสำหรับโครงการนี้จะมาจากรายได้การเก็บ ภาษีนำเข้า (Tariffs) ซึ่งเขาเน้นย้ำว่าเป็นรายได้ก้อนโตที่จะนำมาช่วยเหลือประชาชนและชำระหนี้ของประเทศ
สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับเงินช่วยเหลือ ทรัมป์ระบุว่าจะเน้นไปที่ ผู้มีรายได้ปานกลางและชนชั้นกลาง ซึ่งสอดคล้องกับคำชี้แจงของ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ยืนยันว่านโยบายนี้จะมีการกำหนดเกณฑ์เพดานรายได้ (Income limit) สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับเงิน
ความท้าทายและอุปสรรคสำคัญ
แม้ฝ่ายบริหารจะแสดงความมั่นใจ แต่ในทางปฏิบัติ นโยบายนี้ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ 3 ประการ
- ความเห็นชอบจากรัฐสภา การอนุมัติงบประมาณเพื่อแจกเงินจำเป็นต้องผ่านสภาคองเกรส ซึ่งปัจจุบันสมาชิกวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกันจำนวนมากยังแสดงความไม่เห็นด้วย บางส่วนมองว่าเป็นแนวคิดที่ไม่เหมาะสมและเห็นว่าควรนำรายได้จากภาษีไปชำระหนี้สาธารณะมากกว่า
- ข้อกฎหมาย:ขณะนี้ศาลสูงสุดสหรัฐฯ (Supreme Court) กำลังพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของการใช้อำนาจประธานาธิบดีในการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อขึ้นภาษีนำเข้า หากศาลตัดสินว่าการกระทำดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญ รัฐบาลอาจต้องคืนเงินภาษีให้แก่ผู้นำเข้า ซึ่งจะส่งผลให้ไม่มีเงินทุนมาสนับสนุนโครงการนี้
- งบประมาณอาจไม่เพียงพอ นักวิเคราะห์จาก Budget Lab ของมหาวิทยาลัย Yale ประเมินว่า รายได้จากภาษีนำเข้าอาจอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนล้านดอลลาร์ ในขณะที่การแจกเงิน 2,000 ดอลลาร์ให้ประชาชนทุกคนต้องใช้งบประมาณสูงถึง 6 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารายรับที่คาดการณ์ไว้อาจไม่ครอบคลุมรายจ่ายจริง
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการเสนอแนวคิดการจ่ายเงินปันผลคืนประชาชน ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยเสนอให้นำเงินส่วนที่ประหยัดได้จากการดำเนินงานของหน่วยงาน DOGE มาจัดสรรคืนให้ประชาชน แต่แผนดังกล่าวไม่ได้มีความคืบหน้าแต่อย่างใดหลังจากที่อีลอน มัสก์ ลาออกจากตำแหน่ง
ที่มา: WCNC

