สัปดาห์นี้ตลาดการเงินทั่วโลกได้เผชิญกับสถานการณ์ผิดปกติ เมื่อสินทรัพย์หลัก ๆ ของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีหลักอย่าง S&P 500 และ Nasdaq ไปจนถึง หุ้นรายตัว ต่างปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง พร้อมกับสินทรัพย์ที่ไม่น่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันอย่าง ทองคำ และ คริปโตเคอร์เรนซี
การที่สินทรัพย์ซึ่ งมีคุณสมบัติและบทบาทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หุ้นเป็นสินทรัพย์เสี่ยง, ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย, และคริปโตเป็นสินทรัพย์เก็งกำไร กลับถูกเทขายอย่างหนักในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดคำถามสำคัญในหมู่นักเทรดและนักลงทุนว่าโลกกำลังเกิดอะไรขึ้น? และอะไรคือแรงกดดันที่ส่งผลกระทบพร้อมกันต่อตลาดสินทรัพย์เหล่านี้
เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่หากวิเคราะห์ลึก ๆ จะพบว่า ไม่ว่าจะ ทองคำ-หุ้นและดัชนี รวมถึง Bitcoin ล้วนแล้วแต่สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ในเดือนดังกล่าว ซึ่งสินทรัพย์แต่ละประเภทก็ต่างมีเหตุผลของตัวเองในการผลักดันราคา
- ทองคำ – สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
- หุ้นเทค – การเก็งกำไรในอุตสาหกรรม AI
- คริปโต – โค้งสุดท้ายของวัฏจักร 4 ปี
การที่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ นักลงทุนต่างจะทำการเทขายสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงและเก็บกำไรที่ได้มาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในความเป็นจริงแล้วมันอาจมีอะไรที่น่ากังวลแอบซ่อนอยู่
ฟองสบู่หุ้นเทค

รายงานล่าสุดจาก IMF ชี้ให้เห็นว่า แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกโดยรวมจะส่งสัญญาณไม่สู้ดีนัก แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ยังคงยืนหยัดและเติบโตได้ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก กระแสความคลั่งไคล้ในเทคโนโลยี AI ที่พุ่งสูงอย่างผิดปกติ
IMF ได้ออกคำเตือนอย่างชัดเจนว่า มูลค่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ในปัจจุบันมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด “ฟองสบู่แตก” ซึ่งถูกเปรียบเทียบกับภาวะฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 เนื่องจากราคาซื้อขายพุ่งสูงเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงและเกินความคาดหวังผลกำไรในระยะยาวมากเกินไป การพึ่งพาการเติบโตของตลาดโดยกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีเพียงไม่กี่ตัวนี้จึงเปรียบเสมือนการนั่งอยู่บน “ระเบิดเวลา”
ความกังวลที่ว่ามูลค่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสูงเกินจริงยังได้รับการตอกย้ำจากนักลงทุนระดับตำนานหลายราย โดย Michael Burry ซึ่งมีชื่อเสียงจากการทำนายวิกฤตซับไพรม์ที่ได้แสดงความเห็นเชิงลบต่อหุ้นที่ขับเคลื่อนด้วยกระแส AI
ด้วยเดิมพัน Put Options ในหุ้นที่เกี่ยวข้องอย่าง Nvidia และ Palantir พร้อมทั้งวิจารณ์ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคฯ บางรายอาจมีการ “ตกแต่งกำไร” ส่วนทางด้าน Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal ก็ได้ลดความเสี่ยงอย่างรุนแรงเช่นกัน โดยได้ทำการ ขายหุ้น Nvidia ไปจนเกลี้ยงพอร์ต (ซึ่งเคยเป็นสัดส่วนเกือบ 40% ของกองทุน) และได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นในสหรัฐฯ ลงอย่างมาก
Bitcoin จบวัฏจักร

ในส่วนของ Bitcoin แม้จะพยายามตีตัวเองออกห่างจากตลาดสินทรัพย์ดั้งเดิม แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงจัดอยู่ในหมวดหมู่ของสินทรัพย์เสี่ยง ที่มักจะอ่อนไหวที่สุดเมื่อโลกเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ประกอบกับการที่ในช่วงนี้เป็นจุดสิ้นสุดของวัฏจักร 4 ปี ทำให้เจ้ามือเริ่มทำการเทขายทำกำไรเข้ากระเป๋า
อุปทานเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ทองคำ ที่เพิ่งทำสถิติราคาสูงสุดอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงอย่างเห็นได้ชัด การเคลื่อนไหวนี้สร้างความสับสน เนื่องจากตามคุณสมบัติแล้ว ทองคำจัดอยู่ในหมวด สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ซึ่งตามปกติไม่ควรได้รับผลกระทบจากการเทขายเหมือนกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ
การที่ทองคำถูกเทขายร่วมกับตลาดเสี่ยงนั้นมีสาเหตุหลักมาจากการ แรงเทขายเพื่อสภาพคล่อง ในภาวะที่ทุกตลาดร่วงลงพร้อมกัน นักลงทุนจำนวนมากจำเป็นต้องระดม เงินสด อย่างเร่งด่วนเพื่อรักษาสภาพคล่องหรือเติม Margin ในพอร์ตที่ติดลบ ส่งผลให้แม้แต่ทองคำที่เคยถูกซื้อไว้ป้องกันความเสี่ยงก็ถูกนำออกมาขายเช่นกัน ทำให้นักเทรดจำนวนมากเริ่มไม่มั่นใจและเลือกถือเงินสดเพื่อรอดูสถานการณ์
นอกจากนี้ ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงเกินไปก่อนหน้านี้ยังกระตุ้นให้เกิดการทำกำไรครั้งใหญ่จากนักลงทุนที่ถือ Long ในต้นทุนต่ำ และแรงกดดันอีกด้านมาจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น หลังมีรายงานว่าจีนค้นพบแหล่งแร่ทองคำปริมาณมหาศาลหลายแห่ง ซึ่งส่งสัญญาณว่าอุปทานในตลาดโลกอาจเพิ่มขึ้นในอนาคต ดังนั้นการร่วงลงของทองคำจึงไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานที่แย่ลง แต่มาจาก แรงกดดันด้านสภาพคล่อง และ การทำกำไร ในช่วงที่ตลาดโลกเกิดภาวะตื่นตระหนกพร้อมกัน
นโนบายการเงินคลุมเครือ
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เคยส่งสัญญาณเชิงบวกแก่ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ด้วยการระบุชัดเจนว่าจะ ยุติมาตรการ QT ในเดือนธันวาคม ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ
อย่างไรก็ตาม Fed ได้ออกมาแถลงการณ์ในภายหลังว่า เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองเกี่ยวกับ การปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาล ทำให้พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินได้อย่างแน่นอน ส่งผลให้ โอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนถัดไปลดลงอย่างหนัก
การกลับไปกลับมาและขาดความชัดเจนของ Fed นี้ได้สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับนักลงทุน เนื่องจากไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าทิศทางของนโยบายการเงินจะออกมาเป็นอย่างไร ทำให้ตลาดต้องเผชิญกับภาวะ “หัวหรือก้อย” ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง
จะเกิดอะไรขึ้นต่อ?
สิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดสำหรับตลาดการเงินในอนาคตคือ แรงผลักดันมหาศาลที่กำลังจะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่ง The Kobeissi Letter ได้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อครั้งใหม่และการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินครั้งใหญ่
- 1. สหรัฐฯ เตรียมแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ $2,000 ดอลลาร์ให้ผู้เสียภาษี
- 2. ญี่ปุ่นเล็งอัดฉีดเงินอีก $1.1 แสนล้าน
- 3. จีนมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินจำนวนมากถึง $1.4 ล้านล้านดอลลาร์
- 4. เฟดกำลังยุติการ QT ในวันที่ 1 ธ.ค.
- 5. สหรัฐฯ มีการออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อระดมทุนสูงถึงประมาณ $1.9 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
- 6. แคนาดาเริ่มทำการ QE
- 7. อุปทานเงิน M2 ทุบสถิติใหม่ที่ $137 ล้านล้าน
- 8. ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 320 ครั้ง
แม้ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ตั้งแต่การแจกเงินกระตุ้นในสหรัฐฯ ไปจนถึงมาตรการ QE ของแคนาดาและการยุติ QT ของ Fed จะถูกมองว่าเป็น สัญญาณบวกอย่างยิ่งต่อสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากเป็นการอัดฉีดเงินใหม่เข้าสู่ระบบในปริมาณมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่น่ากังวลที่สุดคือ ผลลัพธ์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่นี้ หากการอัดฉีดสภาพคล่องทำได้มากเกินไปจนทำให้ เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ธนาคารกลางทั่วโลกจะถูกบังคับให้ต้องเข้ามาแทรกแซง ด้วยการ ขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อในทันที ซึ่งจะส่งผลให้กระแสเงินทุนที่กำลังไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงต้องหยุดชะงักลงในท้ายที่สุด และนั่นยังไม่รวมถึงปัญหาสำคัญของหนี้สินภาครัฐ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาลจากการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นภาระหนักอึ้งต่อเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว

