Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมาเตือนถึง “2 ภัยคุกคามใหญ่” ต่อการอยู่รอดของ Ethereum หาก BlackRock และสถาบันการเงินรายใหญ่ยังคงเร่งสะสม Ether ในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้เครือข่ายสูญเสียคุณค่าหลักที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่แรก
Vitalik ขึ้นพูดในงาน Devconnect ว่า ความสนใจจากสถาบันเกิดขึ้นหลังการเปิดตัว Ethereum ETF ของ BlackRock ทำให้บริษัทฝั่งวอลล์สตรีทอย่างน้อย 9 รายถือครอง ETH รวมกันมากกว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ และบริษัทคลังสำรองอีกหลายแห่งก็ถือในจำนวนที่เท่าๆ กัน หรือราว 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์
ในขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สถาบันอาจเข้ามาถือครอง Ethreum มากกว่า 10% ของอุปทานทั้งหมดในไม่ช้านี้ ซึ่งตัวเลขที่ดูดีเหล่านี้ กลับเป็นสิ่งที่ Vitalik มองว่าอันตรายต่ออนาคตของ Ethereum
ภัยคุกคามแรกคือ การสูญเสียคุณค่าหลักและการถอยหนีของนักพัฒนาตัวจริง Vitalik กังวลว่า อิทธิพลของสถาบันเหล่านี้จะค่อย ๆ เข้ามาบีบพื้นที่และลดทอนบทบาทของเหล่านักพัฒนาหลักที่ทุ่มเทสร้างระบบแบบที่ไม่ต้องขออนุญาติใคร และต่อต้านการถูกควบคุมมาตั้งแต่แรก หาก Ethereum ถูกปรับให้ตอบโจทย์สถาบันมากเกินไป ความตั้งใจดั้งเดิมที่ทำให้แพลตฟอร์มนี้เกิดขึ้นก็อาจหายไป พร้อม ๆ กับการจากไปของกลุ่มผู้สร้างที่ยึดมั่นในอุดมการณ์เดิม
ส่วนภัยคุกคามที่สองคือ แรงกดดันทางเทคนิคที่นำไปสู่ความรวมศูนย์และการกีดกันคนทั่วไป Vitalik ระบุว่า สถาบันอาจกดดันให้เกิดการตัดสินใจที่ทำให้คนธรรมดาเข้าถึงยากขึ้น เช่น การผลักดันแนวคิดเรื่องการลดระยะเวลาสร้างบล็อก (Block Time) ให้เหลือเพียง 150 มิลลิวินาที เพื่อรองรับการเทรดความถี่สูง การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้คนทั่วไปแทบจะไม่สามารถรันโหนดได้เลย เว้นแต่จะมีระบบการเชื่อมต่อระดับศูนย์กลางทางการเงินขนาดใหญ่อย่างในนิวยอร์กซิตี้เท่านั้น
และผลที่ตามมาคือ Ethereum จะเสี่ยงถูกผลักเข้าสู่การรวมศูนย์ ซึ่งขัดกับหลักการกระจายอำนาจที่เป็นแก่นแท้ของระบบ
ดังนั้น Vitalik จึงสรุปทางออกไว้อย่างชัดเจนว่า ชุมชนต้องมุ่งเน้นไปที่การรักษาคุณค่าที่โลกของเรายังขาดแคลน นั่นคือการเป็นโปรโตคอลที่เป็นสากล ไม่ต้องขออนุญาตใคร และต้านทานการเซ็นเซอร์
สิ่งที่ทำให้ Ethereum มีคุณค่าอย่างแท้จริงคือการเป็น ระบบที่ทุกคนเข้าถึงได้โดยไม่ต้องเชื่อใจใครซึ่งเป็นสิ่งที่วอลล์สตรีทไม่สามารถสร้างระบบนี้ขึ้นมาเองได้ การรักษาแก่นแท้เหล่านี้ต้องอาศัย “ชุมชนหลักที่แข็งแกร่ง” ที่มุ่งมั่นในคุณค่าที่แตกต่างจากการเงินแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง
ที่มา:dlnews
