จากการเข้าตรวจค้นและยึดทรัพย์สินในคดี “บ้านนานา” หนึ่งในของกลางที่สร้างความสงสัยให้กับประชาชนที่ติดตามข่าวคืออุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ รูปร่างหน้าตาคล้ายแฟลชไดรฟ์เก็บข้อมูลทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันคือ “ Ledger Nano” หรือกระเป๋าเงินคริปโตเคอร์เรนซีแบบฮาร์ดแวร์ (Hardware Wallet) ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์เก็บซ่อนสินทรัพย์ดิจิทัลที่แนบเนียนและมีความปลอดภัยสูงที่สุดในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนทั่วโลกนิยมใช้ เปรียบเสมือน “ตู้เซฟดิจิทัลส่วนตัวเคลื่อนที่” ที่แม้จะมีขนาดเล็กจิ๋ว แต่สามารถใช้เป็นกุญแจเข้าถึงขุมทรัพย์มูลค่าหลักร้อยล้านหรือพันล้านบาทได้ และสามารถพกพาข้ามประเทศได้อย่างง่ายดายโดยไม่เป็นที่สังเกต

ภาพจาก คมชัดลึก
ประเด็นที่สังคมและผู้เสียหายให้ความสนใจมากที่สุด คือการยึดอุปกรณ์ชิ้นนี้ได้ จะนำไปสู่การคืนเงินเยียวยาผู้เสียหายได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบนั้นมีความซับซ้อนสูง หากกลุ่มผู้ต้องหาไหวตัวทันและทำการโยกย้ายเหรียญคริปโตฯ ออกจากกระเป๋าที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์นี้ ผ่านการโอนหลายทอดหรือข้ามประเทศไปก่อนที่จะถูกจับกุม การติดตามเส้นทางการเงินในโลกบล็อกเชนที่รวดเร็วและไร้พรมแดนนั้นจะทำได้ยากมาก จนโอกาสที่ผู้เสียหายจะได้เงินคืนในกรณีนี้แทบจะเป็นศูนย์

อย่างไรก็ตาม หากโชคเข้าข้างและพบว่าเหรียญคริปโตฯ จำนวนมหาศาลยังคงถูกควบคุมโดย Ledger ตัวที่ยึดมาได้ ในทางทฤษฎีถือว่าเงินยังอยู่ และตำรวจสามารถตรวจสอบยอดเงินคงเหลือได้ แต่การมีตัวอุปกรณ์ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถนำเงินออกมาได้ เพราะระบบความปลอดภัยของ Ledger ถูกออกแบบมาให้ต้องใช้ “รหัสกู้คืน 24 คำ” (Seed Phrase) ซึ่งเป็นเหมือนกุญแจผีเพียงดอกเดียวในโลกที่จะไขเข้าสู่กระเป๋าเงินนั้นได้
ดังนั้น สถานการณ์ในขณะนี้จึงเปรียบเสมือนตำรวจยึดได้เพียง “ตู้เซฟที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่ปราศจากลูกกุญแจ” หากผู้ต้องหาปากแข็งไม่ยอมเปิดเผยชุดคำศัพท์ 24 คำที่อาจจดซ่อนไว้ หรือเจ้าหน้าที่ไม่สามารถค้นหาบันทึกลึกลับนั้นเจอ ต่อให้มีอุปกรณ์ของกลางอยู่ในมือ ก็ไม่มีใคร หรือเทคโนโลยีใดในโลก ที่จะสามารถเจาะระบบเพื่อนำเงินของกลางออกมาคืนให้กับผู้เสียหายได้ นี่จึงเป็นศึกหนักของเจ้าหน้าที่ในการสืบสวนเพื่อทลายกำแพงความปลอดภัยชั้นสุดท้ายนี้
ที่มา: sanook
